การเริ่มใช้ฮอร์โมนข้ามเพศ ควรพิจารณาหลังจากได้รับการประเมินทางจิตสังคม โดยผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่มีความเชี่ยวชาญ และมีการขอความยินยอมจากผู้รับบริการก่อนทุกครั้ง โดยการพิจารณาต้องสอดคล้องตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้

  • ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะที่มีความไม่สอดคล้องอย่างมาก (Gender Dysphoria) จริง
  • มีความสามารถในการตัดสินใจและให้ความยินยอมในการรักษาได้
  • อายุเข้าตามเกณฑ์ของแต่ละประเทศที่กำหนด
  • หากมีโรคประจำตัวหรือโรคทางจิตเวชที่อาจส่งผลต่อการให้ฮอร์โมนควรรักษาให้สามารถควบคุมตัวโรคให้ได้ดีก่อน

อย่างไรก็ตาม ในบางสถานการณ์ที่จำเพาะบางอย่าง อาจพิจารณาให้ฮอร์โมนข้ามเพศในผู้รับบริการที่ไม่เข้าเกณฑ์ครบทุกข้อ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่ใช้เคยฮอร์โมนอย่างไม่เหมาะสม และต้องการเข้ารับบริการในสถานบริการที่มีมาตรฐาน หรือในผู้รับบริการที่ใช้ชีวิตแบบข้ามเพศและเคยใช้ฮอร์โมนมาอยู่ก่อนแล้ว ก็ควรพิจารณาให้ฮอร์โมนข้ามเพศต่อเนื่องได้โดยไม่เป็นอุปสรรคแก่ผู้รับบริการ ในทางตรงกันข้าม ผู้รับบริการที่มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรืออันตรายจากการใช้ฮอร์โมนข้ามเพศ ก็ควรเป็นหน้าของผู้ให้บริการที่จะต้องให้คำแนะนำที่ถูกต้อง หรือเสนอทางเลือกอื่นในการข้ามเพศที่ไม่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนแทน นอกจากนี้ การให้ฮอร์โมนข้ามเพศอย่างเหมาะสม ต้องคำนึงถึงข้อควรระวังและข้อห้ามในการให้ฮอร์โมนข้ามเพศก่อนตัดสินใจเริ่มการรักษาเสมอ ดังได้แสดงในตาราง

ข้อควรระวังของการให้ฮอร์โมนเพศสำหรับคนข้ามเพศ

ฮอร์โมนเอสโตรเจน สำหรับหญิงข้ามเพศ

ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน สำหรับชายข้ามเพศ

  • โรคหลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดสมอง
  • หลอดเลือดดำอุดตัน/ลิ่มเลือดที่ปอด
  • มะเร็งเต้านม
  • ไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงรุนแรง (ควรระวังการใช้เอสโตรเจนชนิดรับประทาน)
  • การทำงานของตับหรือไตผิดปกติ
  • โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง
  • หลอดเลือดดำอุดตัน/ลิ่มเลือดที่ปอด
  • มะเร็งเต้านม, มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
  • ผู้ป่วยที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ 
  • ภาวะเลือดข้น(ความเข้มข้นเลือดสูงกว่า 50%)
  • ไขมันในเลือดสูงรุนแรง

นอกจากนี้ผู้ให้บริการควรแนะนำให้ผู้รับบริการงดสูบบุหรี่, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, ควบคุมน้ำหนัก และปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการใช้ชีวิตที่ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด

ผู้รับบริการที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์และต้องการมีบุตรด้วยเซลล์สืบพันธุ์ตนเองในอนาคต ควรมีการให้คำปรึกษาและแนะนำทางเลือกในการเก็บเซลล์สืบพันธุ์ตนเองแช่แข็งไว้ก่อน เนื่องจากการได้รับฮอร์โมนข้ามเพศอาจส่งผลเสียต่อเซลล์สืบพันธุ์ และลดโอกาสการมีบุตรได้

ช่วงอายุของผู้ที่มารับบริการ เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อการเลือกประเภทของกลุ่มยาและช่วงเวลาที่จะเริ่มให้ยาในกรณีที่เป็นเด็กข้ามเพศ การวินิจฉัยภาวะ Gender Dysphoria ต้องอาศัยความรอบคอบมากเป็นพิเศษ รวมทั้งการตัดสินใจเริ่มการรักษาจะต้องทำร่วมกับผู้ปกครองเสมอ อนึ่งการใช้ฮอร์โมนข้ามเพศอาจยังไม่จำเป็นในวัยนี้แต่ควรได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญในสหสาขาวิชาชีพ (เช่น กุมารแพทย์, จิตแพทย์เด็ก) เพื่อวางแผนการรักษาในการเข้าสู่วัยรุ่นที่เหมาะสมต่อไป ในกรณีที่ผู้รับบริการเป็นวัยรุ่นข้ามเพศ ซึ่งกำลังเข้าสู่ระยะเป็นหนุ่มสาวการพิจารณาใช้ฮอร์โมนข้ามเพศ ต้องคำนึงถึงผลของฮอร์โมนต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น ผลข้างเคียงต่อเซลล์สืบพันธุ์, การทำงานของสมองและพฤติกรรม รวมถึงการเปลี่ยนกลับความคิดกลับมาเป็นต้องการเป็นเพศกำเนิด ซึ่งอาจพบได้ในผู้รับบริการที่อายุน้อยมากๆ

ในกลุ่มวัยรุ่นข้ามเพศ เมื่อเริ่มมีการพัฒนาการทางเพศขั้นที่สอง (ประเมินได้จากการพัฒนาของเต้านมในเด็กหญิงเพศกำเนิด หรือการเจริญของอัณฑะในเด็กชายเพศกำเนิด ซึ่งเข้าตามเกณฑ์ของ Tanner Stage 2) อาจพิจารณาเริ่มให้ยา เพื่อกดการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวไว้ชั่วคราวก่อน โดยใช้ยากลุ่ม GnR Hagonist จนกระทั่งถึงช่วงอายุที่เหมาะสม ซึ่งในหลายประเทศแนะนำให้ใช้ยา GnRHagonist กดการทำงานของต่อมเพศไว้จนถึงอายุ 16 ปีจึงเริ่มพิจารณาการให้ฮอร์โมนข้ามเพศต่อไป

ความยินยอม

ในแวดวงการแพทย์ ความยินยอมอย่างชัดเจน หมายถึง การได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเพียงพอ เกี่ยวกับฮอร์โมนเพศที่ยืนยันเพศ ความเสี่ยง ผลกระทบ ส่วนผสม เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจ (หรือยินยอม) เกี่ยวกับร่างกาย สุขภาพ และการดูแลสุขภาพของคุณได้ แพทย์จำเป็นต้องให้แน่ใจว่าคุณมีการตัดสินใจอย่างรอบรู้เกี่ยวกับสุขภาพของตนเองทุกวัน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับคนข้ามเพศและการดูแลที่ยืนยันเรื่องเพศ ความยินยอมที่ได้รับการบอกกล่าวจึงเป็นรูปแบบที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และความต้องการของผู้ป่วยคนข้ามเพศเป็นอันดับแรก ซึ่งหมายความว่า เรายังทำงานร่วมกับแพทย์เพื่อไม่ให้เสี่ยงเกินควรหรือทำให้ตัวเองเสี่ยงต่ออันตราย และวิธีที่ฮอร์โมนเหล่านี้ อาจทำงานร่วมกับยาอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพจะอธิบายถึงสิ่งต่อไปนี้:

  • ประเภทของฮอร์โมนเพศที่ยืนยันเพศที่มีอยู่
  • ผลกระทบและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
  • ความเสี่ยงและประโยชน์
  • ขนาดและวิธีการใช้ (แผ่นแปะ เจล ยาเม็ด การฉีด ฯลฯ)
  • ประสบการณ์ของแพทย์ในการให้การดูแลประเภทนี้
  • วิธีให้ความยินยอมและความสามารถในการให้ความยินยอม

แพทย์จะทำงานร่วมกับผู้ที่ต้องการเริ่มฮอร์โมน เพื่อสร้างแผนการรักษาที่เหมาะสมกับความต้องการและเป้าหมายของแต่ละบุคคล การยินยอมอย่างชัดเจนนี้เป็นส่วนสำคัญ ของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม และเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มฮอร์โมนทุกคนที่จะเข้าใจความเสี่ยง และประโยชน์ของการรักษาใดๆ ก่อนที่จะเริ่มต้น

“สำหรับคนข้ามเพศ ความยินยอมที่ได้รับการบอกกล่าว แสดงถึงความเป็นอิสระ และการหลุดพ้นจากการตีตรา ช่วยให้ผู้ที่ใช้ฮอร์โมนตัดสินใจเลือกเกี่ยวกับร่างกายของตนเองได้ ลักษณะเฉพาะของข้อมูลนี้ช่วยให้แพทย์สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการของแต่ละบุคคลได้” Ruben Hopwood ผู้ประสานงานโครงการสุขภาพคนข้ามเพศ Fenway Health บอสตัน

การรับทราบและยินยอมซึ่งพัฒนาขึ้นที่ศูนย์ชุมชน Callen Lorde ในนิวยอร์ก ตระหนักดีว่าคนข้ามเพศสามารถเข้าใจและยินยอมให้เข้ารับการรักษา ทางการแพทย์และศัลยกรรมได้ด้วยตัวเอง โดยการทำความเข้าใจความเสี่ยง ผลกระทบ และข้อจำกัด โดยให้ความสำคัญกับการตัดสินใจของตนเอง และความเป็นอิสระเป็นศูนย์กลางของการดูแลสุขภาพคนข้ามเพศ

ในรูปแบบความยินยอมโดยแจ้งให้ทราบ การมุ่งเน้นคือ การได้รับความยินยอมโดยแจ้งเป็นเกณฑ์สำหรับการเริ่มต้นการบำบัดด้วยฮอร์โมนในสภาพแวดล้อม แบบสหสาขาวิชาชีพที่ลดอันตราย ให้ความสำคัญกับการให้การดูแลสุขภาพจิตน้อยลงจนกว่าผู้ป่วยจะร้องขอ เว้นแต่จะระบุข้อกังวลด้านสุขภาพจิต ที่มีนัยสำคัญซึ่งจะต้องได้รับการแก้ไขก่อนสั่งจ่ายฮอร์โมน

ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปซึ่งสามารถยินยอมให้เข้ารับการรักษาพยาบาลของตนเอง สามารถเริ่มฮอร์โมนยืนยันเพศกับแพทย์ได้ภายใต้รูปแบบการยินยอมที่ได้รับการบอกกล่าว สิ่งสำคัญคือ ต้องจองการนัดหมายที่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อเริ่มต้นสิ่งนี้ และขอแนะนำให้ทำงานร่วมกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านนี้โดยเฉพาะ หากเป็นไปได้

กระบวนการนี้อาจมีลักษณะดังนี้ (อายุ 18 ปีขึ้นไป):

  • ปรึกษากับแพทย์ของคุณผ่านการนัดหมาย 2-3 ครั้ง คุณจะถูกถามเกี่ยวกับสุขภาพร่างกาย ประวัติการรักษาพยาบาลและครอบครัว ประสบการณ์การยืนยันฮอร์โมนหรือเพศก่อนหน้านี้
  • พูดคุยเกี่ยวกับวิธีที่คุณต้องการยืนยันเพศของคุณในทางการแพทย์และเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง
  • แพทย์อธิบายเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
  • แพทย์ของคุณอาจถามคุณเกี่ยวกับประวัติโรคเฉพาะของคุณ เช่น ไมเกรน โรคตับ อาการชัก ก้อนเนื้อเยื่อเต้านม และมีเลือดออกผิดปกติ ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่ามีการกำหนดฮอร์โมนยืนยันเพศที่ถูกต้อง แพทย์ของคุณอาจต้องการตรวจร่างกายเพิ่มเติม นอกจากนี้คุณยังจะได้สนทนาเกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อาการแพ้ หากคุณสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ยา รวมทั้งความช่วยเหลือที่คุณได้รับที่บ้านและที่ทำงาน
  • การเตรียมการตรวจเลือด เพื่อสร้างระดับพื้นฐานของเอสโตรเจน เทสโทสเตอโรน และตัวชี้วัดอื่นๆ เช่น การทำงานของตับ ระดับต่อมไทรอยด์ คอเลสเตอรอล จำนวนเม็ดเลือดเต็ม อิเล็กโทรไลต์ กลูโคส ไขมัน และการตั้งครรภ์ หากมี พวกเขาจะวัดความดันโลหิตของคุณ และอาจขอให้คุณวัดน้ำหนักบนตาชั่ง
  • คุณจะถูกถามเกี่ยวกับเป้าหมายการเจริญพันธุ์ และความต้องการด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ และให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาภาวะเจริญพันธุ์
  • การลงนามในเอกสารแสดงความยินยอม เช่น เอกสารด้านล่าง ซึ่งแสดงว่าคุณได้ฟังหรืออ่านข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดแล้ว ทำความเข้าใจว่าความเสี่ยง ผลกระทบ และผลลัพธ์อาจมีลักษณะอย่างไร และยินยอมให้ดำเนินการ
  • คุณอาจถูกถามเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกครั้งสุดท้าย การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วิธีการคุมกำเนิดที่คุณใช้ ประวัติโรคมะเร็ง ฯลฯ ตลอดกระบวนการนี้ แพทย์ของคุณจะประเมินว่า คุณเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น มีความสามารถในการตัดสินใจโดยมีข้อมูลครบถ้วน และยินยอมให้เข้ารับการรักษา เพื่อให้มั่นใจว่าคุณกำลังตัดสินใจด้วยเจตจำนงเสรีของคุณเอง

สุดท้ายนี้ คุณไม่จำเป็นต้องตรวจอวัยวะเพศ การสร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจ และซื่อสัตย์กับแพทย์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดี

 

ที่มา: การให้ฮอร์โมนสำหรับคนข้ามเพศ : คู่มือการให้บริการสุขภาพคนข้ามเพศประเทศไทย ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านสุขภาพคนข้ามเพศจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (IHRI), INFORMED CONSENT (Transhub)