สุขภาพจิต (Mental Health) 

เป็นอีกหนึ่งมิติทางสุขภาพของมนุษย์ การมีสุขภาพจิตที่ดีไม่ได้หมายถึงการปลอดจากความเจ็บป่วยทางจิตเวชเท่านั้น แต่เป็นผลระหว่างปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งทางกาย จิตใจ และสังคม ซึ่งส่งผลต่อสุขภาวะโดยรวมของบุคคลนั้น

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพจิตของคนข้ามเพศ คือ การตีตรา ซึ่งประกอบด้วยการตีตราเชิงโครงสร้าง เช่น การจำกัดการเข้าทำงานบางสาขา หรือเข้าถึงบริการบางอย่าง การตีตราระหว่างบุคคล เช่น การพูดล้อเลียน การทำร้ายร่างกาย การทารุณกรรมทางเพศ และการตีตราในระดับบุคคล เช่น ความรู้สึกที่มีต่อตนเอง ความกังวลและหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะต้องเผชิญกับการแบ่งแยก หรือเลือกปฏิบัติซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตและปัญหาสุขภาพจิตของคนข้ามเพศทั้งสิ้น จากหลากหลายปัจจัยดังกล่าวทำ ให้พบความชุกของปัญหาทางสุขภาพจิตบางชนิดได้บ่อยในคนข้ามเพศ เช่นภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล การทำร้ายตนเอง ภาวะผิดปกติทางจิตใจภายหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เป็นต้น

ปัญหาสุขภาพจิตที่พบบ่อยในคนข้ามเพศ และข้อแนะนำสำหรับผู้ดูแล

ภาวะซึมเศร้า (Depression)

หมายถึง กลุ่มอาการทางอารมณ์เศร้า เบื่อ หมดความเพลิดเพลินในสิ่งที่เคยชอบหรือสนใจ ซึ่งมักพบร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น เบื่ออาหาร หรือรับประทานมากเกินไป นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง การเคลื่อนไหวเชื่องช้า หรือกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข สมาธิแย่ลง มีความคิดเรื่องความตาย หรือทำร้ายตัวเอง ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดภาวะซึมเศร้า มีหลายประการซึ่งอาจพบได้บ่อยในคนข้ามเพศ เช่น การว่างงาน การประสบเหตุการณ์รุนแรงในอดีต การขาดแรงสนับสนุนทางสังคม ความขัดแย้งและไม่ยอมรับในครอบครัวประวัติการใช้สารเสพติด ประวัติการเจ็บป่วยด้วยโรคทางกายเรื้อรัง และการใช้ความรุนแรงในคู่รัก

เมื่อพิจารณาเฉพาะคนข้ามเพศ พบความชุกของภาวะซึมเศร้าสูง โดยเฉพาะในคนข้ามเพศที่อายุมากมีความเคารพนับถือในตนเองต่ำ มีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้อื่น มีแรงสนับสนุนทางสังคมน้อย อย่างไรก็ตาม พบว่าการรับฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะซึมเศร้าได้ การคัดกรองภาวะซึมเศร้าสามารถทำ ได้โดยใช้แบบทดสอบ เช่น Patient Health Questionnaire-9 (PHQ-9) ซึ่งเป็นแบบทดสอบที่เหมาะสม ในการใช้คัดกรองภาวะซึมเศร้าในสถานบริการปฐมภูมิมีการแปลเป็นภาษาไทยและวิธีการแปลผลตามตารางด้านล่างนี้

แบบทดสอบภาวะซึมเศร้า PHQ-9 ฉบับภาษาไทย

ในช่วง 2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา
ท่านมีอาการดังต่อไปนี้บ่อยแค่ไหน

ไม่มีเลย

เป็นบางวัน
(1-7 วัน)

เป็นค่อนข้างบ่อย
(>7 วัน)

เป็นเกือบทุกวัน

1.​ เบื่อ ทำอะไรๆ ก็ไม่เพลิดเพลิน    
2.​ ไม่สบายใจ ซึมเศร้า หรือ ท้อแท้    
3. หลับยาก หลับๆ ตื่นๆ หรือหลับมากไป    
4. เหนื่อยง่าย หรือไม่ค่อยมีแรง    
5. เบื่ออาหาร หรือกินมากเกินไป    
6. รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง คิดว่าตนเองล้มเหลว
หรือเป็นคนทำให้ตัวเอง หรือครอบครัวผิดหวัง
    
7. สมาธิไม่ดีเวลาทำอะไร เช่น ดูโทรทัศน์
ฟังวิทยุหรือทำงานที่ต้องใช้ความตั้งใจ
    
8. พูดหรือทำอะไรช้าจนคนอื่นมองเห็น
หรือกระสับกระส่ายจนท่านอยู่ไม่นิ่งเหมือนเคย
    
9. คิดทำร้ายตนเอง หรือถ้าตายๆ ไปเสียคงจะดี    

การแปลผล

หากผู้ทำแบบทดสอบเลือก ไม่มีเลย = 0 คะแนน, เป็นบางวัน = 1 คะแนน, เป็นค่อนข้างบ่อย = 2 คะแนนและเป็นเกือบทุกวัน = 3 คะแนน หลังจากนั้นนำคะแนนมารวมกัน โดยพิจารณาว่าน่าจะมีภาวะซึมเศร้าหากผลรวมคะแนนมากกว่า หรือเท่ากับ 9

เมื่อภาวะซึมเศร้ามีความรุนแรง เป็นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาจให้การวินิจฉัยเป็นโรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder) ตามเกณฑ์การวินิจฉัยของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งประกอบด้วยอาการดังต่อไปนี้

  • มีอย่างน้อย 5 อาการจากอาการต่อไปนี้ เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ และส่งผลต่อการใช้ชีวิตในด้านต่างๆ (โดยต้องมีอย่างน้อย 1 อาการ เป็นอาการในข้อ 1. หรือ 2.)
    • มีอารมณ์เศร้าแทบทั้งวัน ทุกวัน
    • หมดความเพลิดเพลินในกิจกรรมที่เคยชอบหรือสนใจแทบทั้งวัน ทุกวัน
    • น้ำหนักลดหรือเพิ่มขึ้น (อย่างน้อยร้อยละ 5 ของน้ำหนักตัวใน 1 เดือน) เบื่ออาหารหรือรับประทานเยอะกว่าปกติแทบทุกวัน
    • นอนไม่หลับ หรือนอนหลับมากเกินไปแทบทุกวัน
    • รู้สึกกระสับกระส่าย หรือเชื่องช้าแทบทุกวัน
    • อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรงแทบทุกวัน
    • รู้สึกไร้ค่า รู้สึกผิดมากจนเกินไป หรือมากจนไม่สมเหตุผลแทบทุกวัน
    • สมาธิสั้นลง การตัดสินใจช้าลงแทบทุกวัน
    • มีความคิดเรื่องความตายอยู่บ่อยครั้งหรือคิดว่าจะฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัวตายหรือวางแผนที่จะฆ่าตัวตาย
  • มีอาการต่างๆ ที่เป็นก่อให้เกิดความทุกข์ทางใจอย่างมาก หรือส่งผลต่อการทำหน้าที่ในด้านต่างๆ เช่น การเข้าสังคม การทำงาน หรือด้านอื่นๆ
  • มีอาการต่างๆ ไม่ได้เกิดจากผลของโรคทางกาย หรือการใช้สารเสพติด

ผู้ดูแลคนข้ามเพศที่มีภาวะซึมเศร้า จำเป็นต้องสัมภาษณ์ประวัติและ/หรือตรวจร่างกาย เพื่อการวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายโรคซึมเศร้าได้ เช่น โรคอารมณ์ 2 ขั้ว(Bipolardisorder) ภาวะซึมเศร้าจากโรคทางกายเช่น ภาวะภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ หรือโรคหลอดเลือดสมอง, ภาวะซึมเศร้าจากการใช้ยาหรือสารเสพติด,ภาวะการปรับตัวผิดปกติที่มีอารมณ์เศร้าร่วม เป็นต้น และควรพิจารณาส่งต่อให้จิตแพทย์ เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป

นอกจากนี้ผู้ดูแลอาจประเมินภาวะหรือโรคร่วมทางจิตเวชอื่นๆ ที่สามารถพบได้เช่นความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายการใช้สารเสพติด หรือโรควิตกกังวลตลอดจนปัญหาทางจิตสังคมซึ่งอาจจะเป็นผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าในคนข้ามเพศ เช่น การตีตรา หรือแรงสนับสนุนทางสังคม รวมถึงปัจจัยป้องกัน เช่น การมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น

ข้อแนะนำสำหรับผู้ดูแลคนข้ามเพศที่มีภาวะซึมเศร้า

  1. การเตรียมตัวสำหรับผู้ดูแล เช่น องค์ความรู้ ทัศนคติ การแยกความแตกต่างระหว่างอัตลักษณ์ทางเพศ  รสนิยมทางเพศ และการแสดงออกทางเพศ
  2. การประเมินปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ของภาวะซึมเศร้าที่อาจพบได้ เช่น การถูกตีตรา การใช้สารเสพติด แรงสนับสนุนทางสังคม และปัญหาในครอบครัว
  3. คัดกรองภาวะซึมเศร้าด้วยการสัมภาษณ์และ/หรือการใช้แบบทดสอบ เช่น PHQ-9
  4. สัมภาษณ์เพิ่มเติมเพื่อการวินิจฉัย และวินิจฉัยแยกโรคทางจิตเวชหรือโรคทางกายอื่นๆ และ/หรือโรคร่วมทางจิตเวชหรือโรคทางกายอื่นๆ และ/หรือปัญหาทางจิตสังคม
  5. ประเมินความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายตนเอง
  6. ให้การรักษาทางจิตสังคม เช่น การใช้แนวทางในคู่มือ Guided Self-help12 การให้คำปรึกษา หรือการให้คำปรึกษาครอบครัว
  7. ให้การรักษาภาวะซึมเศร้าด้วยยาในรายที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง โดยเลือกใช้ยาในกลุ่ม Selective Serotonin Reuptake Inhibitors (SSRIs) ก่อน เช่น Fluoxetine หรือ Sertraline ผลข้างเคียงของยาในกลุ่ม SSRIs ที่พบบ่อย เช่น ปวดศีรษะ หรืออาการทางระบบทางเดินอาหาร และควรระมัดระวังในการใช้ร่วมกับยาอื่น รวมถึงฮอร์โมนในผู้ที่รับฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศ
  8. การให้ยารักษาตามอาการ เช่น ให้ยาในกลุ่ม Benzodiazepines ในรายที่นอนไม่หลับ
  9. พิจารณาส่งต่อบุคลากรทางสุขภาพจิตในรายที่มีอาการรุนแรง, มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย, มีอาการทางจิตร่วม, มีโรคร่วมทางจิตเวชอื่น, มีการเจ็บป่วยทางกายที่ซับซ้อน หรือเป็นโรคซึมเศร้าที่ดื้อต่อการรักษา

ภาวะวิตกกังวล (Anxiety)

เป็นความกลัว คาดการณ์ หรือคิดถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจัดเป็นอารมณ์ปกติแต่หากภาวะวิตกกังวลดังกล่าวเป็นมากจนส่งผลต่อชีวิตประจำวัน ร่วมกับมีอาการอื่นๆ เช่น นอนไม่หลับ สมาธิแย่ลง อารมณ์หงุดหงิดง่ายขึ้นมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกายอาจจัดเป็นกลุ่มโรควิตกกังวลซึ่งเป็นโรคทางจิตเวชที่พบได้บ่อยในคนข้ามเพศ ผู้ดูแลอาจคัดกรองภาวะวิตกกังวลจากแบบทดสอบ เช่น Generalized Anxiety Disorder 7-item (GAD-7) scale สัมภาษณ์ประวัติ และให้การดูแลเบื้องต้น ตามแนวทางการรักษาผู้ป่วยโรควิตกกังวล เช่น การให้ยาคลายกังวล ปัญหาทางสุขภาพจิตอื่นๆ ที่อาจพบได้ เช่น การทำร้ายตนเอง โดยเฉพาะในคนข้ามเพศที่อายุน้อย,  การใช้สารเสพติด, ความผิดปกติเกี่ยวกับการกิน และกลุ่มอาการทางจิต

ผลกระทบทางสุขภาพจิตจากการรับฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศ

การรับฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศอาจส่งผลกระทบทางสุขภาพจิต ดังต่อไปนี้

ภาวะซึมเศร้า

พบว่าความชุกของภาวะซึมเศร้าในคนข้ามเพศที่รับฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศต่ำ กว่าในคนข้ามเพศที่ไม่ได้รับฮอร์โมน แต่มีการศึกษาพบว่า เมื่อติดตามในระยะยาวแล้ว ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของภาวะซึมเศร้าภายหลัง ได้รับฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศ แต่สามารถเพิ่มระดับความนับถือตนเองได้

ภาวะวิตกกังวล

การรับฮอร์โมน เพื่อการข้ามเพศสามารถลดระดับความวิตกกังวลได้

พยาธิสภาพทางจิตและบุคลิกภาพ

การรับฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศ สามารถลดการเกิดพยาธิสภาพทางจิตโดยรวมได้ รวมถึงลดปัญหาบุคลิกภาพที่อาจจะส่งผลต่อการเกิดพยาธิสภาพทางจิตในกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศ

คุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต

พบว่าผู้ชายข้ามเพศที่ได้รับฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศ มีระดับคุณภาพชีวิตในด้านอารมณ์และสังคมที่ดีกว่า และพบว่าระดับคุณภาพชีวิตในด้านจิตสังคม และสุขภาพจิตของคนข้ามเพศทั้งชายและหญิงที่รับฮอร์โมนดีกว่าคนข้ามเพศที่ไม่ได้รับฮอร์โมน

กลุ่มอาการ Dissociative

หรือที่เรียกว่าโรคหลายบุคลิก หมายถึง การที่ผู้ป่วยมีบุคลิกภาพแตกต่างกันตั้งแต่ 2 บุคลิกขึ้นไปสลับเปลี่ยนกันมีบทบาทต่อพฤติกรรม โดยผู้ป่วยจะจำลักษณะข้อมูลสำคัญของอีกบุคลิกหนึ่งไม่ได้พบว่าการรับฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศ สามารถลดการเกิดอาการได้อย่างมีนัยสำคัญ

การใช้ชีวิตในด้านจิตสังคม ความสัมพันธ์ และอารมณ์

พบว่าการรับฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศส่งผลดีทางด้านอารมณ์ในผู้หญิงข้ามเพศ มากกว่าผู้ชายข้ามเพศ อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาจากการเข้าสังคม และสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นได้

ความทุกข์ทรมาน

ประกอบด้วย ความทุกข์ทรมานทางสังคม เช่น การต้องเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคม และความทุกข์ทรมานทางความคิด เช่น การที่คนข้ามเพศ มองว่าตนเองมีความทุกข์จากการต้องมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมพบว่า คนข้ามเพศที่ไม่ได้รับฮอร์โมน มีความทุกข์ทรมานดังกล่าวสูงกว่า คนข้ามเพศที่รับฮอร์โมน ในขณะที่ความลำบากทางกาย หรือความทุกข์ หรือไม่สะดวกสบายอันเป็นผลจากเพศสภาพพบว่าผู้หญิงข้ามเพศที่รับฮอร์โมน มีความลำบากทางกายลดลง ซึ่งสัมพันธ์กับ ระดับฮอร์โมนเอสตราดิออลที่สูงขึ้น แต่ไม่พบความแตกต่างในผู้ชายข้ามเพศ

ผลข้างเคียงด้านสุขภาพจิตจากฮอร์โมน เพื่อการข้ามเพศมีความแตกต่างกันตามชนิดและระดับของฮอร์โมนในเลือด ซึ่งในผู้ชายและผู้หญิงข้ามเพศนั้น มีการรับฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศแตกต่างกัน ฮอร์โมนสำหรับผู้ชายข้ามเพศ เช่น เทสโทสเตอโรน ทำให้มีความต้องการทางเพศสูงขึ้น และพบว่าหากระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนสูงขึ้นหรือเป็น Supraphysiologic Blood Level อาจทำให้เกิดการกำเริบของโรคจิตเวชที่มีอาการฟุ้งพล่าน หรืออาการทางจิต เช่น โรคอารมณ์ 2 ขั้ว หรือ โรคจิตอารมณ์ เป็นต้น ส่วนฮอร์โมนสำหรับผู้หญิงข้ามเพศ เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือยาลดฮอร์โมนเพศชาย ทำให้มีความต้องการทางเพศลดลง

 

 

ที่มา: สุขภาพจิตของคนข้ามเพศวัยผู้ใหญ่ (Mental Health in Transgender Adults) : คู่มือการให้บริการสุขภาพคนข้ามเพศประเทศไทย ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านสุขภาพคนข้ามเพศจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (IHRI)