
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2024
การผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมในวาระที่ 2-3 ของสภาผู้แทนราษฎรไทย ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญสำหรับสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการเพิ่มคำว่า “บุพการีลำดับแรก” เพื่อรับรองสถานะความเป็นบุพการีร่วมกันของคู่สมรสเพศเดียวกัน ซึ่งสภาปัดตกไประหว่างการพิจารณารายมาตรา
กรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม เสียงข้างน้อย ซึ่งมาจากภาคประชาชน มองว่า การที่สภาไม่รับการบัญญัติคำว่า “บุพการีลำดับแรก” ทำให้คู่รักเพศเดียวกันแม้จะสมรสกันได้ แต่ก็ไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิการตั้งครอบครัว
เรื่องนี้จึงมีการตีความไปถึงการรับบุตรบุญธรรม หรือการอุปการะเลี้ยงดูบุตร บิดา มารดา หรือบุพการีว่า ในทางปฏิบัติจะมีผลอย่างไร
ด้าน สส.จากพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และนักวิจัยกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิผู้มีความหลากหลายทางเพศ เห็นตรงกันว่า คู่สมรสที่จดทะเบียนตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม สามารถก่อตั้งครอบครัวได้ แม้ว่าร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม จะไม่ได้บัญญัติคำว่า "บุพการีลำดับแรก" ไว้ในร่างกฎหมายตามที่กรรมาธิการเสียงข้างน้อยเสนอ
บีบีซีไทย สำรวจความเห็นจากกรรมาธิการ และนักกฎหมายต่อเรื่องนี้
ณชเล บุญญาภิสมภาร กมธ.พิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม จากภาคประชาชน
การไม่มีคำว่า "บุพการีลำดับแรก" ส่งผลต่อการรับบุตรบุญธรรมหรือไม่
แม้ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมจะไม่ได้บรรจุคำว่า "บุพการีลำดับแรก" ซึ่ง กมธ.เสียงข้างน้อยเสนอให้บรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของบิดา มารดา และบุตรเข้าไป แต่นี่ก็ไม่ได้มีผลทำให้คู่สมรสเพศเดียวกันรับบุตรบุญธรรมไม่ได้
ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม อธิบายกับบีบีซีไทยว่า ปัจจุบันมีกฎหมายเรื่องการรับบุตรบุญธรรมอยู่แล้ว คนหนึ่งคนก็สามารถรับบุตรบุญธรรมได้ เช่นเดียวกับคู่สมรสก็สามารถรับบุตรบุญธรรมได้ตามกฎหมายเช่นกัน
“คู่สมรสตามกฎหมายสมรสเท่าเทียมก็สามารถตั้งครอบครัวและรับบุตรบุญธรรมได้ตามกฎหมายการรับบุตรบุญธรรมที่มีอยู่ ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อีกหมวดหนึ่ง ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการสมรสเท่าเทียม”
ธัญวัจน์ กล่าวว่า หนึ่งในคู่สมรสเพียงหนึ่งคนสามารถเป็นผู้อุปการะของบุตรบุญธรรมได้ตามกฎหมายปัจจุบัน แต่คู่สมรสอีกฝ่ายต้องเห็นชอบยินยอมด้วย โดยกฎหมายกำหนดให้บุคคลเพียงบุคคลเดียวเป็นผู้รับบุตรบุญธรรม เพราะมองถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กที่จำเป็นต้องมีผู้รับผิดชอบหลัก ซึ่งเป็นหลักการที่ใช้กับบุคคลทุกเพศ และผู้รับบุตรบุญธรรมจะมีสถานะเป็น "ผู้อุปการะ"
"คำว่า ผู้อุปการะ เป็นคำที่เป็นกลางทางเพศอยู่แล้ว ชายหญิงทั่วไปก็ไม่ได้ใช้คำว่าบิดา มารดา แต่ใช้คำว่า ผู้อุปการะบุตรบุญธรรมเช่นกัน" ธัญวัจน์ กล่าวกับบีบีซีไทย
นักกฎหมายชี้ กฎหมายตั้งครรภ์ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์เป็นอุปสรรคมากกว่า
ฉัตรชัย เอมราช ทนายความและที่ปรึกษา กมธ. วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม กล่าวกับบีบีซีไทยว่า ในระบบกฎหมายไทย มีการแยกการสมรสและความเป็นบิดามารดากับบุตรออกจากกัน
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า การเป็นบิดามารดากับบุตรนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้เสมอว่าใครมีความสัมพันธ์ทางสายโลหิตเป็นบิดามารดากับบุตรกันหรือไม่ บุคคลคนหนึ่ง ๆ จึงสามารถเป็นบิดาหรือมารดาตามกฎหมายได้แม้ว่าบุคคลนั้นจะไม่เคยผ่านการสมรสมาก่อน
ฉัตรชัย ระบุว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/26 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน บัญญัติถึงผู้ที่มีสิทธิรับผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรมร่วมกันว่าได้แก่ "คู่สมรส" ซึ่งเป็นข้อความที่มีลักษณะเป็นกลางทางเพศอยู่แล้ว จึงไม่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมนี้
และเมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ คู่สมรสไม่ว่าจะมีเพศใดก็ตามย่อมสามารถรับผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรมร่วมกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1598/26 ทันที
"โดยระบบกฎหมายไทยอนุญาตให้มีการรับผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรมร่วมกันได้ เฉพาะในกรณีคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม รับเอาบุตรบุญธรรมของคู่สมรสอีกฝ่ายเป็นบุตรบุญธรรมของตน"
ในทัศนะของที่ปรึกษา กมธ. รายนี้ มองว่า การที่ไม่มีการเพิ่มเติมคำว่า "บุพการีลำดับแรก" ในร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ไม่กระทบต่อสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวของคู่สมรสเพศเดียวกัน แต่เห็นว่าอุปสรรคต่อการที่คู่สมรสเพศเดียวกันจะสามารถมีและใช้สิทธิในการก่อตั้งครอบครัวได้อย่างเท่าเทียมกับคู่สมรสชายหญิง คือข้อความใน พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ที่ใช้บังคับเฉพาะคนที่ไม่อาจมีบุตรสืบสายโลหิตร่วมกันได้ตามธรรมชาติ ยังคงยึดติดกับเพศชายและหญิง
อย่างไรก็ตาม มีการเปิดเผยจากกรรมาธิการ ซึ่งกล่าวในสภาเกี่ยวกับการแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ว่า หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบได้ชี้แจงต่อที่ประชุมกรรมาธิการว่า ได้เตรียมร่างกฎหมายไว้แล้ว เพียงแต่รอกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่จะออกมาเท่านั้น
บุตรบุญธรรมจะใช้ชื่อสกุลของคู่สมรสเพศเดียวกันได้หรือไม่
ข้อเสนอของ กมธ.เสียงข้างน้อย ที่เสนอคำว่า "บุพการีลำดับแรก" เข้าไปในร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ในบทบัญญัติเรื่องต่าง ๆ 12 มาตรา เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับการใช้ชื่อสกุล การอุปการะเลี้ยงระหว่างบุตรและบุพการี อำนาจการปกครองบุตร การติดต่อกับบุตร การจัดให้มีผู้ปกครองระหว่างเป็นผู้เยาว์ การตั้งผู้ปกครองหลังบิดามารดา บุพการี หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต เป็นต้น
แล้วบุตรบุญธรรมที่คู่สมรสเพศเดียวกันที่จดทะเบียนตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม จะมีสถานะอย่างไร ใช้ชื่อสกุลไหน
ฉัตรชัย อธิบายกับบีบีซีไทยว่า เมื่อมีการรับบุตรบุญธรรม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/28 กำหนดให้บุตรบุญธรรมมีฐานะเช่นเดียวกับบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม และให้บิดามารดาโดยกำเนิดหมดอำนาจปกครองนับแต่เวลาที่เด็กเป็นบุตรบุญธรรม
เขาระบุว่า ด้วยเหตุนี้ ถึงจะไม่มีการบัญญัติคำว่าบุพการีลำดับแรกไว้ แต่หากกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่าน และมีการรับบุตรบุญธรรมร่วมกันโดยคู่สมรสเพศเดียวกัน บุตรบุญธรรมก็จะมีฐานะเช่นเดียวกับบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของคู่สมรสเพศเดียวกันที่เป็นผู้รับบุตรบุญธรรมนั้น
บุตรบุญธรรมจึงมีสิทธิที่จะใช้นามสกุลของคู่สมรสเพศเดียวกันที่เป็นผู้รับบุตรบุญธรรมได้ และผู้รับบุตรบุญธรรมที่เป็นคู่สมรสเพศเดียวกันก็จะมีอำนาจปกครองบุตรบุญธรรมเช่นเดียวกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิด
"พวกเขาสามารถพาบุตรบุญธรรมไปเข้าโรงเรียน หรือยินยอมให้รักษาพยาบาลได้ ตรงนี้เป็นข้อกฎหมายที่มีอยู่แล้ว เพียงแต่คู่รัก LGBTQ จะสามารถมีสิทธิเหล่านี้ได้เท่าเทียมกับคู่สมรสชายหญิงเมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้" ฉัตรชัยกล่าว
การรับบุตรบุญธรรมร่วมกันของคู่สมรสเพศเดียวกันในต่างประเทศ
หลายประเทศที่ให้สิทธิพลเมืองจดทะเบียนคู่ชีวิตหรือแต่งงานเพศเดียวกันได้ ได้อนุญาตให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้
ในอังกฤษและเวลส์ ได้มีการผ่านกฎหมายให้มีการจดทะเบียนคู่ชีวิตระหว่างคู่รักเพศเดียวกันได้ในปี 2005 ก่อนที่จะผ่านกฎหมายให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างสมบูรณ์ในปี 2014
ในปี 2005 ที่อังกฤษและเวลส์ เป็นปีที่กฎหมายอนุญาตให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้ด้วย โดยกฎหมายเปิดให้หนึ่งในคู่ชีวิต/คู่สมรส รับบุตรบุญธรรมเพียงชื่อเดียวได้ด้วยเช่นกัน
ความก้าวหน้าในการอนุญาตให้คู่ชีวิต/คู่สมรสเพศเดียวกัน รับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้ยังเกิดขึ้นในสกอตแลนด์ในปี 2006 และไอร์แลนด์เหนือในปี 2013 ตามลำดับ
องค์กรอำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมที่ชื่อว่า "ครัมเบีย" (Cumbria) ในสหราชอาณาจักร ชี้ว่า 1 ใน 5 ของการรับบุตรบุญธรรมจำนวน 3,000 ราย ในอังกฤษช่วงระหว่างปี 2022-2023 เป็นการรับบุตรบุญธรรมของคู่รักเพศเดียวกัน
สำหรับไต้หวัน รัฐสภาได้ผ่านร่างกฎหมายให้คู่สมรสเพศเดียวกันสามารถรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมร่วมกันได้อย่างถูกกฎหมายเมื่อปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้สถิติที่รวบรวมโดย Statista ซึ่งประมวลข้อมูลจากสมาพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ (International Lesbian, Gay, Bisexual, Trans and Intersex Association - ILGA World) ไว้เมื่อปี 2022 ยังชี้ด้วยว่า กลุ่มประเทศที่รับรองการรับบุตรบุญธรรมร่วมกันของคู่รักเพศเดียวกัน ส่วนมากอยู่ในแถบยุโรปตะวันตกและอเมริกา และประเทศบางส่วนในยุโรป รับรองบุตรบุญธรรมเฉพาะบุตรของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น
อ้างอิง : BBC