Sisterhood

คำสั่งบริหาร (Executive Order) ฉบับใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรื่อง “Ending Crime and Disorder on America’s Streets” ที่ลงนามเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนในสังคมอเมริกันอย่างกว้างขวาง แม้จะถูกอธิบายว่าเป็นมาตรการเพื่อ “คืนความปลอดภัยบนท้องถนน” แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์กลับดังขึ้นจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะจากนักกฎหมาย นักสิทธิมนุษยชน และองค์กรที่ทำงานด้านผู้ไร้บ้านและชุมชน LGBTQ+

คำสั่งนี้ไม่ใช่เพียงเอกสารทางราชการ แต่คือการสะท้อนทิศทางนโยบายของรัฐบาลที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าสังคมอเมริกันในประเด็นความยุติธรรม สุขภาพจิต และสิทธิพลเมืองในอีกหลายปีข้างหน้า

เนื้อหาหลักของคำสั่งบริหาร

Executive Order ฉบับนี้มีใจความสำคัญอยู่ที่การ มอบอำนาจให้หน่วยงานรัฐบาลกลางและท้องถิ่นใช้มาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวดขึ้น เพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่ถูกมองว่าเป็น “ภัยต่อความสงบเรียบร้อย” ได้แก่:

การห้าม ตั้งแคมป์หรืออยู่อาศัยบนพื้นที่สาธารณะ (urban camping) โดยเฉพาะในเมืองใหญ่

การเพิ่มการจับกุมผู้ที่ถูกมองว่าเป็น ผู้ก่อกวน (loitering, disorderly conduct)

การ ขยายอำนาจบังคับให้เข้ารับการรักษาทางจิต โดยไม่สมัครใจ (civil commitment, involuntary outpatient treatment)

การปรับโครงสร้างงบประมาณไปยังโครงการที่ใช้แนวทาง “law-and-order” มากกว่านโยบาย housing-first ที่เคยพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดปัญหาคนไร้บ้านได้จริง

“จากการดูแลสู่การลงโทษ”: การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย

สิ่งที่นักวิจัยและนักสิทธิส่วนใหญ่กังวลคือ การเปลี่ยน “logic of care” (ตรรกะแห่งการดูแล) ไปสู่ “logic of carcerality” (ตรรกะแห่งการควบคุม/ลงโทษ)

ก่อนหน้านี้ นโยบาย “housing-first” ได้รับการยอมรับในหลายรัฐว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาคนไร้บ้านที่ได้ผลจริง โดยมุ่งให้ที่พักพิงและบริการสุขภาพจิตก่อน จึงค่อยแก้ปัญหาด้านอื่น แต่ EO ของทรัมป์กลับหันเหไปสู่การบังคับใช้กฎหมายแบบเข้มงวด ผลักคนเปราะบางเข้าสู่ คุกหรือสถานบำบัดบังคับ แทนที่จะช่วยเหลือ

Jennifer Mathis จาก Bazelon Center for Mental Health Law เตือนว่า

“นี่คือการละทิ้งแนวทางตามหลักฐาน (evidence-based practices) และแทนที่ด้วยมาตรการที่ไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริง”

กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนัก: คนข้ามเพศและ LGBTQ+

แม้คำสั่งนี้จะไม่เอ่ยถึง LGBTQ+ โดยตรง แต่หลายมาตรากลับสร้างความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งต่อชุมชนนี้ โดยเฉพาะ คนข้ามเพศ (transgender people) ด้วยเหตุผลหลายประการ:

คนข้ามเพศมีอัตราไร้บ้านสูงกว่าคนทั่วไปถึง 2-3 เท่า เนื่องจากถูกเลือกปฏิบัติทั้งในครอบครัวและสถานที่ทำงาน

มีอัตราความเครียด ภาวะซึมเศร้า และปัญหาสุขภาพจิตสูง ทำให้มีความเสี่ยงถูก “บังคับให้รักษา” ภายใต้ EO ฉบับนี้

EO ใช้คำว่า “sexually dangerous persons” ในมาตราที่เกี่ยวข้องกับการกักขังและการบำบัด ซึ่งชวนให้กังวลว่าจะถูกตีความผิดพลาดและนำมาใช้โจมตี trans โดยอ้างถึงการตีตราเก่าๆ ที่ว่า “trans คือภัยต่อเด็ก” หรือ “เป็นผู้ก่ออาชญากรรมทางเพศ”

นี่ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า คำสั่งนี้จะกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อกดขี่ชุมชนเพศหลากหลาย

บริบททางการเมืองและประวัติศาสตร์

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลทรัมป์ดำเนินนโยบายที่กระทบสิทธิ LGBTQ+:

2017–2020 มีคำสั่งห้ามคนข้ามเพศเข้ารับราชการทหาร

ตัดงบประมาณโครงการวิจัยเกี่ยวกับ LGBTQ+

พยายามยกเลิกกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิในพื้นที่สาธารณะ เช่น ห้องน้ำและที่พักพิงสำหรับผู้หญิงข้ามเพศ

ล่าสุด (กรกฎาคม 2025) มีการปิดบริการเฉพาะ LGBTQ+ ของสายด่วน 988 Suicide & Crisis Lifeline

ทั้งหมดนี้ทำให้ EO ล่าสุดถูกมองว่า เป็นการสานต่อและเร่งความเข้มข้นของแนวทางต่อต้านสิทธิความหลากหลายทางเพศ

เสียงจากภาคประชาสังคม

Shannon Minter (National Center for Lesbian Rights):

“นี่คือการโจมตีโดยตรงต่อคนเปราะบางที่ต้องการการดูแล ไม่ใช่การบังคับขัง”

Tom Murphy (National Alliance to End Homelessness):

“คำสั่งนี้ตีตราคนไร้บ้านว่าเป็นอาชญากร และไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุเลย”

องค์กรท้องถิ่น เช่น Bethany House (Laredo, Texas) เตือนว่า นโยบายนี้อาจทำให้ผู้หญิงที่หนีจากความรุนแรงในครอบครัวและกำลังเผชิญปัญหาที่อยู่อาศัย ตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น เพราะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถูกบังคับเข้าสู่ระบบควบคุม

ผลกระทบเชิงสังคม

หากบังคับใช้เต็มรูปแบบ คำสั่งนี้อาจนำไปสู่:

การ จับกุมคนไร้บ้านจำนวนมากขึ้น และทำให้คุกล้น

การ บังคับรักษาทางจิตโดยไม่สมัครใจ ซึ่งเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน

การ สร้างความหวาดกลัว ให้กับชุมชนคนข้ามเพศและ LGBTQ+ ที่อาจถูกตีตราว่าเป็น “ภัยต่อสังคม”

การ ลดความเชื่อมั่นในระบบการแพทย์และสาธารณสุข เพราะผู้คนกลัวว่าจะถูกจับกุมแทนที่จะได้รับการช่วยเหลือ

มุมมองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

นักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระบุว่า EO ของทรัมป์อาจขัดกับพันธกรณีระหว่างประเทศของสหรัฐ เช่น กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ที่สหรัฐเคยลงนามไว้

บทเรียนจากอดีต: “War on Drugs” และการควบคุมเชิงโทษ

ผู้เชี่ยวชาญเปรียบเทียบ EO ฉบับนี้กับ “War on Drugs” ในทศวรรษ 1980–1990 ที่เน้นการจับกุมมากกว่าการบำบัด สุดท้ายทำให้เกิดการล้นเรือนจำและไม่แก้ปัญหาสุขภาพชุมชน EO ของทรัมป์จึงถูกมองว่าอาจนำสังคมอเมริกัน ย้อนกลับเข้าสู่วงจรเดิม

ทำไม LGBTQ+ ต้องจับตา

EO ฉบับนี้อาจทำให้ คนข้ามเพศและ LGBTQ+ ถูกผลักออกจากพื้นที่สาธารณะ และถูกตีตราเป็นภัยต่อความปลอดภัย

เป็นการ ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ที่สิทธิของชุมชนถูกบั่นทอนทีละขั้น

ในระดับโครงสร้าง นี่คือการ เปลี่ยนจากการดูแลเป็นการลงโทษ ซึ่งขัดกับหลักการสิทธิมนุษยชนและสาธารณสุขที่ก้าวหน้า

ดังนั้น ชุมชน LGBTQ+ ทั้งในอเมริกาและทั่วโลกจำเป็นต้องจับตาและส่งเสียง เพื่อยืนยันว่าความปลอดภัยต้องมาพร้อมสิทธิ ไม่ใช่แลกสิทธิไปกับการควบคุม