
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่...) พ.ศ. .... หรือร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม วาระที่ 2-3 ด้วยคะแนนเสียง 400 ต่อ 10 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง ไม่ลงคะแนน 3 เสียง
การผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมของสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ ส่งผลให้ไทยกำลังจะเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชีย ถัดจากไต้หวันและเนปาล และเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีกฎหมายแต่งงานของบุคคลเพศเดียวกัน
ขั้นตอนหลังจากนี้ สภาจะส่งร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ให้วุฒิสภาพิจารณาในวาระ 2-3 หากได้รับความเห็นชอบ นายกรัฐมนตรีก็จะนำร่างขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อประกาศใช้ต่อไป
นายดนุพร ปุณณกันต์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่...) พ.ศ. .... กล่าวนำเสนอในที่ประชุมสภาว่า ทาง กมธ. ได้ ประชุมพิจารณาร่างกฎหมายทั้งหมด 12 ครั้ง จนเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2567 โดยเป็นการพิจารณารายมาตราจนจบร่าง พ.ร.บ. ทั้งสิ้น 68 มาตรา
การพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันนี้ (27 มี.ค.) เป็นการพิจารณารายมาตรา และมีกรรมาธิการเสียงข้างน้อยที่ขอสงวนความเห็นจำนวน 14 มาตรา
นายดนุพร ได้นำเสนอสาระสำคัญใน 3 ประเด็น ของร่างกฎหมายที่ผ่านชั้นกรรมาธิการ ได้แก่
- กมธ. เห็นว่าบทบัญญัติบางมาตรา มีถ้อยคำที่ไม่สอดคล้องกับบริบทสังคมในปัจจุบัน จึงมีการปรับถ้อยคำให้เหมาะสม
- เกณฑ์อายุขั้นต่ำของผู้หมั้น และผู้สมรส ควรกำหนดไว้ที่ 18 ปี เพื่อให้ มีอายุพ้นจากความเป็นเด็ก และเพื่อให้สอดคล้องกฎหมายในประเทศ ที่มีบัญญัติคุ้มครองเด็ก และสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและพันธสัญญาระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี
- กมธ. ได้เพิ่มบัญญัติใหม่ 1 มาตรา เพื่อกำหนดให้บทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่งใด ๆ ให้ถือว่าอ้างถึงคู่สมรสที่จดทะเบียนตามกฎหมายฉบับนี้ เพื่อลดภาระให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ในการแก้ไขกฎหมาย และบัญญัติให้หน่วยงานรัฐทบทวนกฎหมายต่าง ๆ ที่ต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายใน 180 วัน
นายดนุพร กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้ ชายหญิงทั่วไปเคยได้รับสิทธิอย่างไรจะไม่เสียสิทธิแม้แต่น้อย และจะคุ้มครองคนส่วนหนึ่งไม่ว่าจะเป็นแอลจีบีทีคิวหรือคนข้ามเพศไม่ว่ารูปแบบใด ซึ่งจะเป็นการคืนสิทธิให้กับคนกลุ่มนี้ ไม่ใช่เป็นการให้สิทธิขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิการรักษาพยายาล การลดหย่อนภาษี รวมถึงการเซ็นยินยอมให้เข้าสู่การรักษาพยาบาล
"กฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่ยาที่จะรักษาได้ทุกโรค แต่อย่างน้อยก็เป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในการสร้างความเท่าเทียมให้เกิดในประเทศ" นายดนุพร กล่าว พร้อมเชิญชวนให้สมาชิกสภาผู้แทนฯ ผ่านความเห็นชอบกฎหมายฉบับนี้
"ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชีย ที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม และเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีกฎหมายฉบับนี้"
กมธ.เสียงข้างน้อย ชี้ได้รับสิทธิเป็น “คู่สมรส” แต่ไม่ได้รับสิทธิเป็น “บุพการี”
กรรมาธิการ (กมธ.) เสียงข้างน้อยขอเพิ่มคำว่า "บุพการีลำดับแรก" แทนคู่สมรสแอลจีบีทีคิว นอกเหนือจากคำว่า “บิดา มารดา” แต่ถูกที่ประชุมสภาตีตก
ประเด็นหลักที่ กมธ. เสียงข้างน้อยขอสงวนความเห็นคือ การเพิ่มเติมคำว่า "บุพการีลำดับแรก" เข้าไปในร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ในบทบัญญัติเรื่องต่าง ๆ 12 มาตรา ที่เกี่ยวข้องกับ การใช้ชื่อสกุล การอุปการะเลี้ยงระหว่างบุตรและบุพการี อำนาจการปกครองบุตร การติดต่อกับบุตร การจัดให้มีผู้ปกครองระหว่างเป็นผู้เยาว์ การตั้งผู้ปกครองหลังบิดามารดา บุพการี หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต เป็นต้น
กรรมาธิการเสียงข้างน้อย ซึ่งมาจากสัดส่วนภาคประชาชนและพรรคก้าวไกล (ก.ก.) รวม 11 คน ได้อภิปรายต่อที่ประชุมสภา
ภาคภูมิ พันธวงค์ หรือปาหนัน กมธ. เสียงข้างน้อย จากภาคประชาชน ได้เสนอให้มีการเพิ่มคำว่า "บุพการีลำดับแรก" ลงไปในร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ด้วยเหตุผลเพื่อให้มีการรับรองสถานะทางกฎหมายของอัตลักษณ์ทางเพศทุกอัตลักษณ์ และเติมเต็มสิทธิของผู้เลี้ยงดูบุตรของคู่สมรสหลากหลายทางเพศ
ภาคภูมิ อธิบายว่า การเพิ่มคำว่า บุพการีลำดับแรก เป็นการต่อสู้เพื่อคู่สมรสที่นิยามตนด้วยอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลาย เช่น เควียร์ ไบนารี ที่อาจเรียกตัวเองว่า "พ่อพ่อ แม่แม่ หรือบุพการี-บุพการี" เพราะร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมยังบัญญัติ โดยใช้คำว่า บิดา มารดาเท่านั้น ดังนั้น การเพิ่มถ้อยคำดังกล่าวจะเป็นการขยายสิทธิการก่อตั้งครอบครัว และรับรองความเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ หลังจากถูกลิดรอนสิทธิมาอย่างสม่ำเสมอ
"ขอให้เพิ่มโดยใช้คำว่า บุพการี ลำดับแรก เพื่อความเป็นกลางทางเพศ และเคารพครอบครัวเพศหลากหลายทุกอัตลักษณ์ โดยไม่ได้กระทบสิทธิคำว่าบิดา มารดา แต่อย่างใด" ภาคภูมิกล่าว "การใช้คำว่าบิดา มารดา โดยทิ้งพวกเขาไว้ข้างหลังมันคือเรื่องที่ผิดปกติ"
ด้าน ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ กมธ.เสียงข้างน้อย สัดส่วนพรรคก้าวไกล กล่าวว่า หลายฝ่ายอาจกังวล ว่า บุพการี จะรวม ปู่ย่าตายาย จึงระบุ เป็นคำว่า "บุพการีลำดับแรก" และการใช้คำที่เป็นกลางทางเพศ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นหลักการที่ต่างประเทศทำมาเป็นสิบปี อย่างสหราชอาณาจักร มีนโยบายใช้คำที่เป็นกลางทางเพศ ตั้งแต่ปี 2550 อย่างเช่นคำว่า บุพการี ใช้คำว่า Parent (ผู้ปกครอง) แทน
กมธ.รายนี้ระบุว่า การเพิ่มคำว่า บุพการีลำดับแรก จะส่งผลต่อการรับรองสิทธิของการสร้างครอบครัวแอลจีบีทีคิว แม้จะยังไม่สามารถทำให้ คู่รักแอลจีบีทีคิวเข้าถึงเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ทางการแพทย์และสามารถสร้างครอบครัวให้สมบูรณ์ได้ทันที แต่การแก้ไขจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญและเป็นแนวทางในการแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ต่อไป ซึ่งมีการชี้แจงใน กมธ. ว่าหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบได้ร่างกฎหมายไว้แล้ว เพียงแต่รอกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่จะออกมาเท่านั้น
นัยนา สุภาพึ่ง กมธ. เสียงข้างน้อยจากภาคประชาชน กล่าวว่า หากไม่แก้ไขเรื่องนี้ จะทำให้กฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่สมรสเท่าเทียม เป็นเพียงกฎหมายที่รับรองสิทธิให้เพศหลากหลายสมรสกันได้ แต่ไม่รับรองสถานะทางสังคมและสถานะทางกฎหมายของครอบครัวของคู่สมรสเพศหลากหลาย
"ถ้ากฎหมายสมรสเท่าเทียม ไม่ได้มีคำว่า บุพการีลำดับแรกอยู่ นั่นหมายความว่าท่านสมรสกันได้เท่านั้น แต่ท่านไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิของครอบครัวเพศหลากหลาย...เพศหลากหลายมีสิทธิสมรสกันแล้ว ก็ต้องมีสิทธิก่อตั้งครอบครัว"
นัยนา ยังระบุด้วยว่า การไม่ระบุถ้อยคำชัดเจนไว้ จะทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติเมื่อครอบครัวเพศหลากหลายไปใช้สิทธิตามกฎหมายอื่น หลังจากกฎหมายประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว รวมไปถึงอาจกรณีที่ข้าราชการเจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายละเมิดสิทธิประชาชนเหมือนเช่นที่เคยมีในอดีต
กมธ.จากภาคประชาชนยังชี้ด้วยว่า คู่สมรสหลากหลายทางเพศที่มีบุตรควรมีสิทธิในการกำหนดในครอบครัวและบุตรของพวกเขา
"เมื่อมีลูกก็ต้องไปแจ้งเกิด บุคคลข้ามเพศ ทรานส์แมน ทรานส์วูแมน นอนไบนารี คู่หญิงรักหญิง ชายรักชาย เมื่อไปแจ้งเกิดลูกจะต้องเขียนในช่องสูจิบัตรว่า พวกเขาเป็นบิดามารดาหรือ" นัยนา กล่าว
กมธ.เสียงข้างมาก ชี้แจง "บุพการีลำดับแรก" ไม่มีในระบบกฎหมาย
นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร กมธ.เสียงข้างมาก ได้ลุกขึ้นชี้แจงต่อประเด็นที่ กมธ.เสียงข้างน้อยขอเสนอให้เพิ่มคำว่า "บุพการีลำดับแรก" เข้าไปในร่างกฎหมาย โดยชี้ว่าถ้อยคำ "บุพการีลำดับแรก" ยังไม่มีการศึกษาถึงผลกระทบที่เป็ทางการมารองรับ และยังไม่ได้รับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนตามกระบวนการ มาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ หากเพิ่มคำนี้เข้าไป อาจทำให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญและอาจทำให้ร่างกฎหมายตกไปทั้งฉบับ
เขายังชี้ด้วยว่า บุพการีลำดับแรกไม่เคยมีมาก่อนในระบบกฎหมายไทย การสร้างถ้อยคำดังกล่าวจะเกิดปัญหาการตีความว่า บุพการีลำดับแรก ครอบคลุมระดับใด อีกทั้งจะส่งผลกระทบต่อระบบกฎหมายทั้งหมดทั้งประเทศ จากเดิมที่ต้องแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องจำนวน 47 ฉบับ แต่หากเติมคำว่า บุพการีลำดับแรก เข้าไป จำเป็นต้องรื้อกฎหมายที่มีอยู่ในประเทศที่กำหนดเรื่องบิดามารดาที่เชื่อว่ามีหลายร้อยฉบับ
"กมธ. (เสียงข้างมาก) เห็นว่าสามารถแก้ไขได้ โดยไปติดตามแก้ไขกฎหมายในฉบับที่จำเป็นต่อการรับสิทธิต่าง ๆ เช่น การรับบุตรบุญธรรม กฎหมายคุ้มครองเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ซึ่งจะเป็นการแก้ที่ตรงจุด และไม่กระทบต่อระบบกฎหมาย"
หลังจาก กมธ. ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยได้อภิปรายความเห็นเสร็จสิ้นแล้ว ที่ประชุมสภาได้ลงมติเห็นชอบกับเนื้อหาของ กมธ.เสียงข้างมากในแต่ละมาตราในวาระที่ 2
หลังจากนั้นที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงมติในวาระที่ 3 โดยผลการลงมติ ที่ประชุมสภามีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 400 ต่อ 10 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง และไม่ลงคะแนน 3 เสียง
สภาผู้แทนราษฎร รับหลักการร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ในวาระที่ 1 เมื่อเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว
หลังจากร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระที่ 1 ไปเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา สภาได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายทั้งสิ้น 38 คน ทั้งจากพรรคการเมืองและภาคประชาชน โดยใช้ร่าง พ.ร.บ. ฉบับของคณะรัฐมนตรีเป็นร่างหลักในการพิจารณา
ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมหรือในชื่อทางการว่า ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ที่ถูกนำมาพิจารณาในรอบนี้ มีหลักการคือ การขยายสิทธิการสมรสหรือแต่งงานให้ครอบคลุมบุคคลทุกเพศ โดยแก้ไขกฎหมายแต่งงานเดิม ซึ่งก็คือประมวลกฎหมายแพ่งฯ (ป.พ.พ.) มาตรา 1448 ที่อนุญาตให้แต่เฉพาะบุคคล "เพศชาย" กับ "เพศหญิง" จดทะเบียนสมรสได้เท่านั้น เป็นการสมรสระหว่างบุคคลกับบุคคล
ทั้งนี้ เนื้อหาที่มีการปรับแก้ในชั้นกรรมาธิการ มีประเด็นหลัก ๆ ได้แก่ อายุผู้ที่ทำการสมรส ซึ่งกรรมาธิการเห็นชอบให้ปรับเป็น 18 ปี จากเดิมที่กำหนดไว้ 17 ปี โดยหนึ่งในกรรมาธิการ ระบุกับบีบีซีไทยว่า เพื่อให้เกณฑ์อายุสอดคล้องตามหลักการในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์และคุ้มครองสิทธิเด็กจากการถูกบังคับแต่งงานก่อนวัยอันควร
ขณะที่ยังมีความเห็นต่างในร่างกฎหมายฉบับนี้ ได้แก่ การบัญญัติคำว่า "บุพการีลำดับแรก" ในกฎหมายให้มีสิทธิและหน้าที่เทียบเท่าบิดามารดา ซึ่ง น.ส.นัยนา สุภาพึ่ง กรรมาธิการ จากสัดส่วนภาคประชาชน เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า ได้ขอสงวนความเห็นเพิ่ม เพื่อนำมาอภิปรายหาข้อสรุปในที่ประชุมสภาในวาระที่ 2-3 ต่อไป
สรุปเนื้อหาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่ผ่านชั้นกรรมาธิการ
บีบีซีไทย เปิดเอกสารร่าง พ.ร.บ. และรายงานของ กมธ. ที่ผ่านการพิจารณา เปรียบเทียบความแตกต่างกับร่างคณะรัฐมนตรี
ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ที่ผ่านชั้นกรรมาธิการ ยังมีบทบัญญัติเพิ่มเติมอีกหนึ่งมาตรา ได้แก่ การบัญญัติให้กฎหมายลำดับต่าง ๆ เช่น พ.ร.บ. กฎกระทรวง ประกาศ คำสั่ง ระเบียบ มติ ครม. ฯลฯ ที่มีการอ้างถึงสามี ภริยา หรือสามีภริยา ให้ถือว่าอ้างถึงคู่สมรสที่จดทะเบียนตามกฎหมายสมรสเท่าเทียมนี้ด้วย (มาตรา 66/1)
ข้อเสนอจากภาคประชาชนบางส่วนที่ไม่ถูกบรรจุในร่างกฎหมาย
ในร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม มีประเด็นที่กรรมาธิการบางส่วน ขอสงวนความเห็นต่าง ซึ่งหมายถึงเป็นข้อเสนอทางกฎหมายที่ไม่ได้รับความเห็นชอบในที่ประชุมกรรมาธิการ โดยส่วนใหญ่เป็นข้อเสนอจากตัวแทนภาคประชาชน และกรรมาธิการสัดส่วนของพรรคก้าวไกล (ก.ก.)
น.ส.นัยนา สุภาพึ่ง กรรมาธิการสัดส่วนภาคประชาชน เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ไม่ได้รับข้อเสนอของภาคประชาชนในประเด็นการบัญญัติคำที่มีความเป็นกลางในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบิดา มารดา และบุตร ซึ่งกรรมาธิการภาคประชาชนได้เสนอคำว่า "บุพการีลำดับแรก" แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมกรรมาธิการ จึงขอสงวนความเห็นเพื่อไปอภิปรายในวาระที่ 2-3 ในสภา
น.ส.นัยนา อธิบายโดยยกตัวอย่างว่า บุตรของคู่สมรสที่พ่อแม่เป็นบุคคลหลากหลายทางเพศ เมื่อเข้าโรงเรียนไปแล้ว จะเรียกครอบครัวของเด็กกลุ่มนี้ว่าอย่างไรในทางกฎหมาย หรือ การมีบุตรโดยใช้สิทธิตามกฎหมายอุ้มบุญ เมื่อคู่แต่งงานที่ถูกต้องตามกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีบุตร แต่ผู้ที่คลอดบุตรอาจไม่ยินดีให้เรียกตัวเองตามอัตลักษณ์ของผู้หญิงเนื่องจากเป็นบุคคลข้ามเพศ แต่ทว่ากฎหมายจะเรียกผู้คลอดบุตรว่าเป็นแม่ ก็จะเป็นการละเมิดอีกขั้นหนึ่ง แต่ทั้งนี้ได้รับการชี้แจงจากหน่วยงานที่ใช้กฎหมายในกรรมาธิการว่า กฎหมายอุ้มบุญยังไม่ครอบคลุมไปยังคู่สมรส LGBTQ เพราะยังมีคำว่าชายและหญิงในหลายจุด
"เวลามีลูกแล้วไปแจ้งเกิดจะเขียนในสูจิบัตรอย่างไร เมื่อต้องแจ้งเกิด" น.ส.นัยนา ยกตัวอย่าง พร้อมบอกว่า
"นี่เป็นความรุนแรงที่กฎหมายกระทำต่อบุคคล ในขณะที่กฎหมายต้องให้ความคุ้มครองเป็นหลักประกันของบุคคล ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่รัฐกลับออกกฎหมายที่ผลิตซ้ำความรุนแรงและทำให้คนรู้สึกถูกละเมิดต่อไป"
บีบีซีไทยตรวจสอบรายงานของกรรมาธิการ ที่บันทึกข้อเห็นต่างในหลายมาตรการที่กรรมาธิการจากภาคประชาชนเสนอให้เขียนคำว่า "บุพการีลำดับแรก" อันหมายถึงคู่สมรสที่จดทะเบียนตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม เข้าไปในร่างกฎหมายให้ชัดเจน แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบในชั้นกรรมาธิการ อาทิเช่น
- บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา มารดา หรือบุพการีลำดับแรก
- บุตรจำเป็นต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดา มารดา และบุพการีลำดับแรก
- บิดา มารดา หรือบุพการีลำดับแรกจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตร
- ให้บิดา มารดา หรือบุพการีลำดับแรก ตามประมวลกฎหมายนี้ เป็นบิดา มารดา หรือบุพการีลำดับแรกที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมาย พ.ร.บ. กฎกระทรวง กฎหมายอื่น ที่ให้สิทธิและหน้าที่แก่ "บุพการี" หรือ "บิดามารดา" หรือคำอื่นใดในลักษณะเดียวกัน
อ้างอิง:BBC