Sisterhood

หลังจากที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) มีมติเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ให้เพิ่ม “บริการยาฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศสภาพ” เป็นสิทธิประโยชน์ด้านการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&P) ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) โดยตั้งเป้ากลุ่มเป้าหมายในปีงบประมาณ 2568 จำนวน 20,000 คน ด้วยงบประมาณ 145.625 ล้านบาท ข่าวนี้ได้สร้างความสนใจอย่างมากในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนข้ามเพศและองค์กรที่ทำงานด้านสุขภาพและสิทธิความหลากหลายทางเพศ

แม้การที่ “ยาฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศสภาพ” ถูกบรรจุไว้ในสิทธิประโยชน์ของบัตรทองจะถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมสิทธิด้านสุขภาพของกลุ่มเพศหลากหลาย แต่ในทางปฏิบัติกลับยังมีประเด็นหลายประการที่ยังขาดความชัดเจน ส่งผลให้ผู้มีสิทธิไม่สามารถเข้าถึงบริการได้อย่างเต็มที่และทั่วถึง

ความเห็นจากภาคประชาสังคม: เสนอให้หน่วยบริการ มาตรา 3 เป็นกลไกสำคัญ

ณชเล บุญญาภิสมภาร อุปนายกสมาคมเพื่อการพัฒนาสุขภาพบุคคลข้ามเพศและเพศหลากหลาย (Thai-PATH) ได้แสดงความเห็นต่อกรณีนี้ว่า แม้ขณะนี้สิทธิประโยชน์ยาฮอร์โมนจะได้รับการรับรองแล้วในระบบบัตรทอง แต่การดำเนินการในเชิงระบบยังขาดรายละเอียดที่ชัดเจน ทั้งในด้านแนวทางการให้บริการ หน่วยบริการที่สามารถให้บริการได้ รูปแบบการรับยา กระบวนการเบิกจ่าย ไปจนถึงการพัฒนาศักยภาพของหน่วยบริการ

ณชเลตั้งข้อสังเกตว่า ด้วยวงเงินงบประมาณ 145.625 ล้านบาทนั้นอาจไม่เพียงพอต่อการให้บริการครอบคลุมในทุกจังหวัด และในหลายพื้นที่ยังขาดหน่วยบริการที่มีความพร้อมเฉพาะทางในการดูแลผู้รับบริการยาฮอร์โมนโดยตรง นำมาสู่ข้อเสนอที่น่าสนใจ นั่นคือ การใช้หน่วยบริการตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคมที่ขึ้นทะเบียนกับ สปสช. และมีประสบการณ์ทำงานกับกลุ่มคนข้ามเพศอยู่แล้ว

บทบาทของหน่วยบริการมาตรา 3: พื้นฐานสู่ระบบที่เข้าถึงและเข้าใจ

อุปนายก Thai-PATH ได้เสนอโมเดลการให้บริการที่เริ่มต้นจากการใช้ “หน่วยรับส่งต่อเฉพาะด้านเอชไอวี” ตามมาตรา 3 เป็นฐานการให้บริการ โดยให้บทบาทของหน่วยเหล่านี้เป็นผู้ตรวจเลือด ตรวจวัดระดับฮอร์โมน และให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับยาฮอร์โมนแก่ผู้ขอรับบริการ และหากพบว่าผู้ใช้บริการมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ก็ให้หน่วยบริการดังกล่าวทำหน้าที่ส่งต่อไปยังสถานพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อหรือระบบต่อสู้กับฮอร์โมน เพื่อดำเนินการสั่งจ่ายยาอย่างปลอดภัยและถูกต้อง

การให้บทบาทกับหน่วยบริการมาตรา 3 นั้นมีข้อได้เปรียบหลายประการ เนื่องจากบุคลากรของหน่วยบริการเหล่านี้มักเป็นสมาชิกของชุมชนเพศหลากหลายเอง ทำให้สามารถเข้าใจบริบท วัฒนธรรม และความต้องการเฉพาะของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลึกซึ้ง ส่งผลให้การเข้าถึงบริการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่สร้างกำแพงความกลัวหรือความไม่ไว้วางใจระหว่างผู้รับบริการกับผู้ให้บริการ

เรียกร้องความชัดเจนและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ณชเลเสนอเพิ่มเติมว่า สิ่งสำคัญที่ สปสช. ควรดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือการจัดทำแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ครอบคลุมเรื่องหน่วยบริการที่สามารถให้บริการ ขั้นตอนการให้บริการ วิธีการเบิกจ่าย และกลไกติดตามผลลัพธ์ เพื่อให้ทั้งประชาชนและหน่วยบริการเข้าใจตรงกัน และสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบ

อีกทั้งควรส่งเสริมความร่วมมือกับองค์กรภาคประชาสังคมอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเกี่ยวกับกลุ่มข้ามเพศ ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการพัฒนารูปแบบบริการมีความเหมาะสม เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด และลดช่องว่างของระบบสุขภาพที่มักจะมองข้ามความแตกต่างทางเพศสภาพ

ระบบติดตามและการทบทวนรายการยา: เพื่อความเท่าเทียมของผู้ใช้บริการ

อีกหนึ่งข้อเสนอที่สำคัญ คือ การจัดตั้งระบบติดตามผลการให้บริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพิจารณาทบทวนรายการยาอย่างเหมาะสม โดย ณชเลระบุว่า ปัจจุบันใน 6 รายการยาที่บรรจุในสิทธิประโยชน์ มีเพียงรายการเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้กับผู้ชายข้ามเพศได้ ขณะที่อีก 5 รายการเป็นยาสำหรับผู้หญิงข้ามเพศ ซึ่งสร้างคำถามว่า รายการที่มีอยู่เพียงรายการเดียวนั้น เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วหรือยัง และครอบคลุมความต้องการทางสุขภาพที่แท้จริงของผู้ใช้บริการกลุ่มนี้หรือไม่

การขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง: ไม่จบแค่เพิ่มสิทธิประโยชน์

อุปนายกสมาคม Thai-PATH ยืนยันว่า ทางสมาคมยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไปอย่างจริงจัง ไม่หยุดเพียงแค่การเพิ่มสิทธิประโยชน์สำเร็จแล้วจบ เพราะยังมีภารกิจอีกมากมาย เช่น การผลักดันให้หน่วยบริการได้รับการพัฒนาอย่างครอบคลุม การเพิ่มรายการยาให้เหมาะสมกับความหลากหลายทางเพศ และการเฝ้าระวังไม่ให้การจัดบริการสร้างความเหลื่อมล้ำซ้ำซ้อนให้กับกลุ่มคนที่เปราะบางในสังคม

ก้าวเล็กๆ ที่ต้องการระบบใหญ่รองรับ

การที่ “บริการยาฮอร์โมนเพื่อยืนยันเพศสภาพ” ได้รับการบรรจุในระบบบัตรทอง ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางนโยบายด้านสุขภาพที่เริ่มยอมรับความหลากหลายทางเพศอย่างเป็นรูปธรรม แต่เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดผลอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีการจัดระบบบริการที่มีประสิทธิภาพ ชัดเจน และตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายจริงๆ

และทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือระหว่างภาครัฐ หน่วยบริการ และภาคประชาสังคม ที่ยืนอยู่เคียงข้างชุมชนมาโดยตลอด.