
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เผยรายละเอียดสิทธิประโยชน์ใหม่ “บริการฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศสภาพ” สำหรับผู้มีสิทธิบัตรทอง ครอบคลุมทั้งกรณีชายเป็นหญิงและหญิงเป็นชาย ชี้เป็นก้าวสำคัญในการดูแลสุขภาพกลุ่มคนข้ามเพศอย่างเท่าเทียม โดยผู้รับบริการต้องผ่านกระบวนการประเมินและให้คำปรึกษาอย่างรอบด้านจากทีมสหวิชาชีพ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 นพ.นิธิวัชร์ แสงเรือง ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้เปิดเผยถึงรายละเอียดของชุดสิทธิประโยชน์ "บริการฮอร์โมนยืนยันเพศสภาพ" ซึ่งคณะกรรมการ สปสช. ได้มีมติอนุมัติไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยนับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทย
นพ.นิธิวัชร์ กล่าวว่า สิทธิประโยชน์นี้มีจุดเริ่มต้นมาจากการผลักดันของกลุ่มคนข้ามเพศที่ได้เข้าพบและนำเสนอความต้องการต่อนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดก่อน และได้รับการสานต่อเป็นนโยบายสำคัญในรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งตัวแทนกลุ่มคนข้ามเพศ ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และ สปสช. ที่ได้ทำการศึกษาวิจัยและรับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวางเพื่อให้นโยบายนี้เกิดขึ้นได้จริง
รายละเอียดสิทธิประโยชน์และประเภทของฮอร์โมน
ชุดสิทธิประโยชน์ที่ สปสช. พัฒนาขึ้น จะครอบคลุมการให้บริการฮอร์โมนทั้งในรูปแบบยาเม็ดและยาฉีด โดยจะพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล ดังนี้
- กรณีจากชายเป็นหญิง (Transgender Women): การรักษาอาจแตกต่างกันไปตามช่วงวัยและประวัติการใช้ฮอร์โมนเดิม เช่น ผู้ที่อายุน้อยอาจใช้เพียงยาบล็อกฮอร์โมนเพศชาย หรือผู้ที่อายุมากอาจใช้ยาเม็ดเอสโตรเจนก็เพียงพอ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เช่น สะโพกผายขึ้น หนวดเคราลดลง และเสียงที่อ่อนลง
- กรณีจากหญิงเป็นชาย (Transgender Men): ส่วนใหญ่จะใช้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในรูปแบบยาฉีด ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น เสียงที่ห้าวขึ้น มีหนวดเครา และมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น
ขั้นตอนและเงื่อนไขการเข้ารับบริการ
เพื่อความปลอดภัยและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ผู้ที่ต้องการเข้ารับบริการจะต้องผ่านขั้นตอนการประเมินอย่างเข้มงวด โดยมีทีมสหวิชาชีพซึ่งประกอบด้วย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ และนักจิตวิทยา ประจำหน่วยบริการเป็นผู้ดูแล กระบวนการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ:
- ประเมินและยืนยัน ว่าผู้รับบริการมีภาวะเพศสภาพไม่สอดคล้องกับเพศกำเนิดจริง (Gender Incongruence)
- ให้ข้อมูลอย่างรอบด้าน เกี่ยวกับผลดี ผลเสีย และความเสี่ยงจากการใช้ฮอร์โมน เช่น อาการแพ้ยา ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะเส้นเลือดในสมอง และความเสี่ยงมะเร็งเต้านม รวมถึงข้อจำกัดในการเปลี่ยนแปลงกลับของร่างกาย
- ตรวจร่างกายและประเมินสุขภาพจิต อย่างละเอียด เพื่อคัดกรองปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการรับฮอร์โมน
งบประมาณและการดำเนินงาน
สปสช. ได้อนุมัติงบประมาณเริ่มต้นจำนวน 140 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนสิทธิประโยชน์ดังกล่าว ซึ่งงบประมาณนี้จะครอบคลุมค่าบริการตรวจเลือด ตรวจระดับคอเลสเตอรอล และการตรวจร่างกายอื่น ๆ ตามระยะเวลาที่กำหนด (ทุก 3 เดือน, 6 เดือน, 1 ปี หรือ 2 ปี) และพร้อมจะพิจารณาเพิ่มงบประมาณในปีถัดไปหากมีผู้เข้ารับบริการมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
ขณะนี้ โครงการอยู่ระหว่างการจัดซื้อยา โดยมีแนวทางการให้บริการดังนี้:
- พื้นที่กรุงเทพมหานคร: คลินิกที่ให้บริการอยู่เดิมสามารถดำเนินการต่อไปได้ และ สปสช. จะจัดส่งยาไปทดแทนในภายหลัง
- พื้นที่ต่างจังหวัด: กระทรวงสาธารณสุขกำลังพัฒนารูปแบบการให้บริการ โดยจะเริ่มต้นในหน่วยบริการที่มีความพร้อมก่อน เช่น โรงพยาบาลในโรงเรียนแพทย์ตามจังหวัดใหญ่ ๆ
- การใช้เทคโนโลยี Telemedicine: จะมีการนำระบบแพทย์ทางไกลมาใช้ในการให้คำปรึกษาและติดตามผล โดยเฉพาะกับผู้ที่ได้รับยาอย่างต่อเนื่องและมีระดับฮอร์โมนคงที่แล้ว
นพ.นิธิวัชร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า "การจัดชุดสิทธิประโยชน์นี้ถือเป็นข่าวดีและความหวังสำหรับกลุ่มคนข้ามเพศทุกคนในประเทศไทย" โดยหลังจากนี้ สปสช. จะดำเนินการเผยแพร่รายชื่อโรงพยาบาลและคลินิกที่เข้าร่วมโครงการผ่านทางเว็บไซต์ของ สปสช. เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการได้อย่างสะดวกต่อไป