Sisterhood

"มุสลิมเรามีพระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน คนอื่นไม่สามารถตัดสินเราได้" อาลีฟ (นามสมมติ) กล่าวกับบีบีซีไทย ผ่านปลายสายโทรศัพท์มาจาก จ.ยะลา

ด้วยตัวตนที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) และเป็นศาสนิกของอิสลามแต่กำเนิด ชาว จ.ยะลา วัย 25 ปีผู้นี้ เลือกที่จะใช้ชื่อสมมติในการเปิดเผยเรื่องราวให้กับบีบีซีไทย ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับศาสนา

อาลีฟ กำลังคบหากับคนรักซึ่งเป็นคนมุสลิมเช่นกัน เขาเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม โดยหวังว่าวันหนึ่งจะสามารถจัดตั้งครอบครัวตามอัตลักษณ์ทางเพศวิถีของตัวเองได้

"หากว่าจะมีครอบครัว ผมคงไม่อยู่ในพื้นที่ที่ผมอยู่ คงต้องย้ายไปที่อื่น" อาลีฟกล่าว "เราเคยคิดเรื่องวางแผนครอบครัว หรือรับลูกคนอื่นมาเลี้ยง เพราะเราก็อยากมีครอบครัวเหมือนคนอื่นเหมือนกัน”

ตอนนี้ประเทศไทยกำลังจะมีกฎหมายการแต่งงานของบุคคลเพศเดียวกันหรือ "สมรสเท่าเทียม" ซึ่งผ่านวาระแรกของสภาผู้แทนราษฎรและปรับแก้ในชั้นกรรมาธิการเรียบร้อยแล้ว คาดว่าในช่วงปลายเดือน มี.ค.นี้ กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะมีความก้าวหน้าในขั้นนิติบัญญัติไปอีกขั้น

แต่ในร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... หรือที่เรียกว่า ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม มีบทบัญญัติในมาตราหนึ่งไว้ว่า จะไม่ได้บังคับใช้กับพื้นที่ที่มีกฎหมายกำหนดเรื่องครอบครัวหรือมรดกไว้เป็นการเฉพาะ ซึ่งปัจจุบัน คือ จ.ปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล ที่ใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดก มาตั้งแต่ปี 2489

ความหลากหลายทางเพศของผู้คน ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเป็นบุคคลเชื้อชาติใด หรือผู้ที่อยู่ในความเชื่อความศรัทธาใดเป็นการเฉพาะ มุสลิม LGBTQ ได้แบ่งปันมุมมองของพวกเขากับบีบีซีไทย เกี่ยวกับกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่กำลังใกล้จะเป็นจริง

เป็นมุสลิม และเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ

ระหว่างการพูดคุยกับบีบีซีไทย อาลีฟดูทั้งมีความหวังและหมดหวัง เขามีความหวังต่อการที่เร็ว ๆ นี้ ไทยกำลังจะมีกฎหมายสมรสเท่าเทียม แต่อีกด้านสำหรับมุสลิมจากชายแดนใต้อย่างเขา การจะหวังแค่ให้ตัวตนทางเพศถูกยอมรับกลับเป็นความฝันที่ "ริบหรี่"

ในดินแดนจังหวัดชายแดนใต้ ที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับมุสลิมที่มีเพศวิถีเป็นบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQ ที่จะดำเนินชีวิตตามอัตลักษณ์ทางเพศของตนได้อย่างเปิดเผย

อาลีฟ เล่าว่า เขาเปิดเผยตัวตนว่าเป็น LGBTQ กับครอบครัวและเพื่อนมาตั้งแต่เด็ก อาลีฟบอกว่าพ่อและแม่ไม่เคยกล่าวห้าม มีแต่บอกว่าอย่ามีพฤติกรรมที่เสียหาย ในความหมายที่ว่า "ไว้หน้า ท่านบ้าง อย่าทำเกินเหตุ เกินจำเป็น"

แม้ครอบครัวรับรู้ แต่เมื่อเป็นเรื่องของการคบหาคนรักซึ่งเป็นเพศเดียวกัน ขอบเขตการเปิดเผยเรื่องราวความสัมพันธ์ยังอยู่ที่แค่กลุ่มเพื่อนสนิทที่วางใจ

"ทุกครั้งที่มีแฟน ไม่เคยบอกใคร หรือว่าคนในครอบครัวเลย นอกจากเพื่อนสนิทเท่านั้น"

เมื่อออกมาสู่พื้นที่นอกบ้าน อาลีฟบอกว่า "ก็มีบ้าง" ที่จะมีคนที่ไม่ยอมรับตัวตนของเขา "แต่ด้วยความที่ผมไม่ได้ออกตัวขนาดนั้น เป็นคนแมน ๆ ทั้งแต่งตัว คำพูด คำจา" ทำให้ชุมชนไม่ได้ต่อต้านหรือแสดงพฤติกรรมที่ไม่ยอมรับออกมามานัก และสำหรับเด็กหนุ่มอย่างเขาและบางคนที่เป็น LGBTQ การช่วยเหลืองานของชุมชน ก็เป็นหนทางอย่างหนึ่งที่ทำให้คนในชุมชนยอมรับ

"นี่คือโชคดีของผมที่เกิดมาในชุมชนที่เขาโอเคมาก ๆ" อาลีฟ กล่าว

แต่นั่นก็ไม่ใช่ความโชคดีที่เกิดกับ มุสลิม LGBTQ ทั้งหมด

"บางคนต้องจากบ้าน เพื่อไปใช้ชีวิตของตัวเอง บางทีก็เกิดจากครอบครัวไม่ยอมรับ แต่ที่ผมถามเพื่อน ๆ ก็มีคนที่พ่อแม่ไม่ยอมรับบ้าง คนข้างบ้านท็อกซิก ก็ออกจากที่นั่นไปใช้ชีวิตของตัวเองที่กรุงเทพฯ ก็มี"

ความสัมพันธ์ของอาลีฟและคนรักไม่ได้ง่ายดายนักเมื่ออยู่ในจังหวัดบ้านเกิด การแสดงออกถึงความเป็นคู่รักหรือการคบหา ในบริบทของจังหวัดชายแดนใต้ ไม่สามารถจะทำได้ แตกต่างจากเวลาอยู่ในพื้นที่อื่น อย่างเช่น หาดใหญ่ของ จ.สงขลา

อาลีฟยังเปิดเผยด้วยว่า ในพื้นที่ชายแดนใต้ มีบ่อยครั้งที่เรื่องความสัมพันธ์ของบุคคลที่รักเพศเดียวกัน ถูกนำไปบรรยายธรรมในมัสยิด

ประสบการณ์ที่เขาเจอกับตัวเองครั้งหนึ่งจากการไปร่วมละหมาดในวันศุกร์ อาลีฟได้รับฟังการบรรยายธรรมด้วยเนื้อหาที่เขามองว่า เป็นการสร้างความเกลียดชังแก่กลุ่มคนรักเพศเดียวกัน

"เขาเอาแอลจีบีทีมาเปรียบเทียบกับสัตว์ ถ้าเขาพูดด้วยหลักการดี ๆ ถามว่าพวกเราฟังไหม พวกเราฟังนะครับ แต่อยู่ที่ตัวเราจะทำตามหรือเปล่า" อาลีฟ กล่าวถึงการบรรยายธรรมในช่วงการละหมาดวันศุกร์ครั้งหนึ่ง ซึ่งผู้บรรยายวันนั้นเป็นครูสอนศาสนา

"เขาสร้างความเกลียดชัง ให้กับพวกเรามาก ๆ อึ้งเลยที่ได้ยินแบบนี้"

ยะลา เป็น 1 ใน 4 จังหวัด ที่มีการใช้กฎหมายอิสลามเกี่ยวกับครอบครัวและมรดกสำหรับผู้นับถือศาสนาอิสลาม

ความหวังสมรสเท่าเทียม

หากประเทศไทยมีกฎหมายสมรสเท่าเทียม อาลีฟเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้ทุกพื้นที่ได้ใช้สิทธิในกฎหมายนี้

"ผมสนับสนุนนะครับ ด้วยความที่ จ.ยะลา ไม่ได้มีแต่มุสลิม 100% ยังมีคนพุทธด้วย และก็มีคนมุสลิมด้วยที่อยากทำตามความต้องการของเขา" อาลีฟกล่าว พร้อมบอกว่า นี่คือการทำให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศ ได้รับสิทธิอีกขั้นที่เหมือนคู่รักเพศชายหญิง

ในทางหนึ่งคือศาสนิกของพระเจ้า อาลีฟเข้าใจดีว่า การที่เขามีอัตลักษณ์และวิถีทางเพศเช่นนี้ "เป็นบาป" และ "รู้อยู่แก่ใจว่ามันผิดกฎของศาสนา" แต่เขาเชื่ออย่างยิ่งว่า "พระเจ้า" จะเป็นผู้ตัดสินการกระทำ

"ผมคิดกับตัวเองว่า ในมุมศาสนา ผมละหมาด ผมถือศีลอด ผมทำทุกอย่าง อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็ทำเหมือนกับคนอื่น ๆ ผมก็ไม่เคยละในหน้าที่ของมุสลิมคนหนึ่ง แต่หัวใจและความเป็นแอลจีบีที หรือการมีแฟน อันนั้นเป็นเรื่องของผมกับพระเจ้า ทุกอย่างผมกับพระเจ้า ผมคิดว่าเราเพียงแค่ใช้ชีวิตของเรา และทำหน้าที่เรื่องศาสนาควบคู่กันไปด้วย ผลที่จะเกิดตามมาจะเป็นอย่างไร เราก็ต้องดูอีกทีในภายภาคหน้า" อาลีฟ กล่าว

"เราจะเป็นคนที่ผิด หรือเป็นคนที่ถูก อยู่ที่พระเจ้า เรากับพระเจ้า ผมเชื่อแบบนั้น" นี่คือทัศนะของมุสลิมผู้มีความหลากหลายทางเพศคนหนึ่ง

ชีวิตที่ "ประนีประนอม" ระหว่างศาสนากับตัวตน

เมื่อถามเรื่องการสมรสเท่าเทียมของบุคคลเพศเดียวกัน "วาอิล" (นามสมมติ) ข้าราชการวัย 37 ปี ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามและเป็น LGBTQ บอกว่า เขาคง "เห็นด้วยไม่ได้เสียทีเดียว" ด้วยความศรัทธาในศาสนาอิสลามที่เขามีมา

แต่กระนั้น เขาก็ไม่ได้เห็นด้วยเช่นกัน หากจะมีผู้ไปขัดขวางไม่ให้กฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้น เพราะ "เป็นสิทธิเสรีภาพของคนที่อาศัยในประเทศนี้"

“เราไม่ได้คิดถึงการแต่งงาน แต่เราไม่ได้เข้าไปขวาง... อิสลามการศรัทธาของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากัน”

วาอิล เติบโตที่ จ.สงขลา ในครอบครัวที่มีพ่อเป็นผู้นำศาสนา เขาเล่าว่าช่วงหนึ่งในวัยเด็ก เขาถูกเลี้ยงดูมาด้วยพี่สาวลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งเลี้ยงดูเขาเหมือนเป็น "ตุ๊กตา" จับแต่งหน้าแต่งตัว แต่เขามาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ชอบผู้หญิงเมื่อเติบโตขึ้นมา

"ไม่ได้อยากแต่งงาน แต่ก็ไม่อยากเป็นผู้หญิง"

ด้วยการแสดงออกที่รับรู้ได้ว่าเป็น LGBTQ แต่ในวัยเด็กยังไม่คำว่า "เกย์" ให้เรียกบุคคลหลากหลายทางเพศ ดังนั้น ในยุคที่ "โลกไม่ได้เปิด" วาอิล จึงเผชิญกับการถูกบูลลี่ (กลั่นแกล้ง) จากเพื่อนของพ่อแม่พูดจาเสียดสีใส่ "แต่งงานหรือเปล่า ชอบผู้หญิงหรือเปล่า" เป็นคำถามที่เขาเผชิญเสมอ

วาอิล เปิดเผยว่า เขาเคยเจอมุสลิม LGBTQ ในมหาวิทยาลัยที่เรียนในกรุงเทพฯ เปลี่ยนศาสนาไปเลยก็มี

ล่วงจนถึงวัยทำงาน วาอิลบอกว่า การที่เขาครองตน เรียนหนังสือ ประสบความสำเร็จในการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำและหน้าที่การงาน เป็นสิ่งที่เขา "พิสูจน์" ตัวเองมาตลอด ซึ่งนั่นเป็นเหมือน "สิ่งแสดงสถานะทางสังคม" ที่ทำให้ผู้ที่เคยพูดเสียดสีเงียบลงได้

ในฐานะผู้มีความหลากหลายทางเพศคนหนึ่ง และเป็นมุสลิม วาอิลบอกว่า ต่อให้ไม่ได้เป็นมุสลิม เขาก็ไม่มีความคิดเรื่องการก่อตั้งครอบครัว เพราะในโลกปัจจุบัน การเลี้ยงดูลูกคนหนึ่งมีเรื่องต้องดูแลหลายด้าน และการมีคู่ชีวิตเป็นผู้ชาย เป็นสิ่งที่วาอิลคิดว่า ยากในการอธิบายกับครอบครัวที่เป็นคนรุ่นเก่าและอยู่ในทางศาสนา

ในทางหนึ่ง วาอิลยึดถือความศรัทธาต่อพระเจ้า แต่อีกทางหนึ่งในตัวตนทางเพศวิถี เขามองว่าการครองตนต่อการคบหาในความสัมพันธ์ก็มีขอบเขตว่าอยู่ในขั้นไหน

“มันเป็นการ compromise (ประนีประนอม)" วาอิล กล่าว และแสดงความเห็นว่า "การก้าวเข้าไปในความสัมพันธ์ (การคบหา) เช่น การพูดคุยเป็นเพื่อน ถ้าความรู้สึกของเราเลยเถิด เรารู้อยู่แล้วว่าต้องผิดบาปในทางศาสนา ถ้าเราเลือกจะยอมรับ พระเจ้าคงจะตัดสินเอง แต่พ่อแม่ไม่ควรจะมารับรู้อะไรเรื่องนี้ เพราะในโลกยุคเขามันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง"

อย่างไรก็ดี เมื่อการสมรสเท่าเทียมกำลังใกล้มาถึง วาอิลไม่เห็นด้วยที่คนในศาสนาอิสลามจะขัดขวางไม่ให้มีกฎหมายนี้ แต่เห็นว่า มุสลิมมีสิทธิตักเตือนกันเองตามคัมภีร์หากมีคนในศาสนาไปจดทะเบียน แต่ไม่ใช่การไล่ล่าเพื่อลงโทษ

สิทธิทางกฎหมาย-เสรีภาพในการนับถือศาสนา

ในมาตรา 66 ของร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ฉบับของคณะรัฐมนตรี ซึ่งถูกนำมาพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ มีเนื้อหาระบุว่า "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่แก้ไขเพิ่มเติมในพระราชบัญญัตินี้ ไม่ใช้บังคับแก่กรณีที่มีกฎหมายกำหนดเรื่องครอบครัวหรือมรดกไว้เป็นการเฉพาะ"

พ.ร.บ.ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตต์จังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 ซึ่งยังบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน ระบุไว้ว่า "ในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีแพ่งเกี่ยวด้วยเรื่องครอบครัวและมรดกอิสลามสาสนิก... ให้ใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกบังคับแทนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการนั้น" นั่นหมายความว่า ใน 4 จังหวัดนี้ ในเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวหรือมรดก เช่นการสมรส สามารถใช้กฎหมายอิสลามแทนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้

บทบัญญัติข้อนี้ มีผลต่อการสมรสเท่าเทียมในอนาคตอย่างไร น.ส.นัยนา สุภาพึ่ง กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม อธิบายว่า ในปัจจุบัน ผู้นับถือศาสนาอิสลามก็ใช้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในการจดทะเบียนสมรสอยู่แล้ว และหากมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมออกมา มุสลิมที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ ก็สามารถจดทะเบียนได้เช่นกัน เพราะถือเป็นสิทธิที่กฎหมายมอบให้

"ไม่มีข้อห้ามว่าห้ามทำ เพียงแต่ว่า เขาจะไปนิกะห์ (การแต่งงานของผู้นับถือศาสนาอิสลาม) ตามศาสนาหรือไม่ ซึ่งโต๊ะอิหม่ามอาจจะไม่ทำให้ ถ้ารู้ว่าเขาเป็นแอลจีบีที"

นัยนา สุภาพึ่ง กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม จากภาคประชาชน

นัยนา อธิบายหลักการว่า "การนับถือศาสนา เป็นเรื่องของเสรีภาพ ไม่ใช่เรื่องของสิทธิ" แต่การที่กำหนดสิทธิให้พลเมืองทุกคนได้รับการคุ้มครอง มีหลักประกัน มีสวัสดิการ มีการคุ้มครองกัน ในฐานะเป็นบิดามารดา สามี ภรรยา พ่อ แม่ ลูก จากการแต่งงานกันเป็นครอบครัว จะนำมาซึ่งสิทธิหน้าที่ที่มีความมั่นคงตามมาอีกหลายเรื่อง

"การที่เราทำให้กฎหมายเกิดความมั่นคงเป็นเรื่องสิทธิ แต่ว่าการนับถือศาสนาอิสลามเป็นเรื่องเสรีภาพ"

เคารพความศรัทธาที่แตกต่าง

กมลศักดิ์ ลีวาเมาะ สส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ (ปช.) กล่าวกับบีบีซีไทยว่า บทบัญญัติในมาตรา 66 ของร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม "เป็นเรื่องละเอียดอ่อน" ที่จำเป็นต้องเขียนบทบัญญัติเกี่ยวกับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามไว้ในร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพราะหากไม่มีการระบุเรื่องนี้ ก็อาจเป็นเงื่อนไขที่ถูกนำมาสร้างความขัดแย้งได้

สส.จากชายแดนใต้ อธิบายว่า ปัญหาในพื้นที่สามจังหวัดเป็นเรื่องของความไม่เป็นธรรมของ “ผู้ปกครองและผู้ถูกปครอง” หาก “ผู้ปกครอง” ไม่เข้าใจวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ และออกกฎหมายที่ย้อนแย้งกับความศรัทธา ผลที่ตามมาจากประสบการณ์ในอดีตคือ “แรงต้าน"

“เรากังวลว่า ประเด็นนี้จะไปสร้างความขัดแย้งในพื้นที่และมันจะเป็นเรื่องใหม่” กมลศักดิ์ กล่าวกับบีบีซีไทย “ไม่ใช่แค่มองแต่หลักนิติศาสตร์อย่างเดียว ต้องมองในเรื่องรัฐศาสตร์ด้วย ในพื้นที่สามจังหวัดฯ ถ้าเราระบุชัด (ในกฎหมาย) อย่างนี้มันก็ชัดเจนว่าจะไม่กระทบ (ต่อศาสนา) เลย”

ขณะนี้ กฎหมายว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขต จ.ปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 กำลังมีการยกร่าง พ.ร.บ. เสนอการแก้ไขให้ขยายการบังคับใช้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งเพิ่งปิดรับการแสดงความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายดังกล่าวเมื่อสิ้นเดือน ก.พ.

กฎหมายฉบับนี้ตราขึ้นในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศใช้เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสมัยนั้น โดยสาระสำคัญคือ ผู้นับถือศาสนาอิสลาม สามารถใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกแทนบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ ในกรณีที่ต้องวินิจฉัยชี้ขาดคดีแพ่งใน 4 จังหวัดดังกล่าว

กมลศักดิ์ กล่าวกับบีบีซีไทยว่า การยื่นแก้ไขกฎหมายอิสลามฉบับนี้ เป็นการแก้ไขเพื่อให้ผู้นับถือศาสนาอิสลามในส่วนอื่นของประเทศ สามารถใช้กฎหมายอิสลามในการแก้ข้อพิพาทเกี่ยวกับครอบครัวและมรดก เช่น การสมรส การหย่า การแบ่งมรดก ตามหลักของศาสนาได้ อีกทั้งยังจะเป็นการแก้ไขกฎหมายนี้ครั้งแรกนับตั้งแต่กฎหมายออกมาเมื่อกว่า 70 ปีที่แล้ว พร้อมยอมรับว่า ส่วนหนึ่งเป็นการแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศไทยกำลังมีกฎหมายสมรสเท่าเทียม โดยตัวกฎหมายจะใช้เฉพาะกับคู่ความที่เป็นมุสลิมด้วยกันเท่านั้น ไม่ได้กระทบกับศาสนิกอื่น

สส.กมลศักดิ์ อธิบายว่า ในปัจจุบันในพื้นที่ 4 จังหวัดดังกล่าว การสมรสตามกฎหมายไม่ต้องใช้การจดทะเบียนสมรส แต่ใช้หนังสือของโต๊ะอิหม่าม ผู้นำศาสนาในพื้นที่ก็ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย แต่หากคู่สามีภรรยามีหนังสือจากโต๊ะอิหม่ามแล้ว ก็สามารถไปจดทะเบียนสมรสกับหน่วยราชการอีกครั้งก็ได้เช่นกัน

"คุณไม่จดก็ได้ ถ้าแต่งงานถูกต้องตามหลักแล้ว มีหนังสือของโต๊ะอิหม่ามแล้ว ก็ถือว่าสมบูรณ์เป็นสามีภรรยาตามกฎหมาย"

เมื่อพิจารณาตามกฎหมาย หากกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้จริง ผู้มีความหลากหลายทางเพศ ไม่ว่าศาสนาใด จะสามารถจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมได้ ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการสอบถามในชั้นกรรมาธิการ ถึงฉากทัศน์ต่อการมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการยกเว้นให้ใช้กฎหมายว่าด้วยครอบครัวและมรดกบังคับใช้เป็นการเฉพาะในบางพื้นที่ เมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้

"มันขึ้นอยู่กับคน ๆ นั้นว่า ในการดำเนินชีวิตมีอะไรเป็นตัวนำ ถ้าเกิดเขาเอาหลักศรัทธา หลักศาสนาเป็นตัวนำ เขาก็จะไม่ไปดำเนินการแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณเอาเรื่องสิทธิเสรีภาพเป็นตัวนำ อันนั้นเป็นเรื่องของคุณ... แต่ผมเชื่อว่า 90% ของคนในพื้นที่ มีหลักศรัทธาความเชื่อในเรื่องศาสนามาก" กมลศักดิ์กล่าว

"ถ้าคุณเป็นแอลจีบีทีไปขอนิกะห์กับโต๊ะอิหม่าม เขาไม่ทำให้แน่นอนเพราะว่าทำไม่ได้ พอทำไม่ได้คุณจะไปจดทะเบียนกับนายทะเบียนอย่างเดียว ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาแล้ว"

สภาผู้แทนราษฎร รับหลักการร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ในวาระที่ 1 เมื่อเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว

ความคืบหน้าการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี โฆษกประจำคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เปิดเผยเมื่อวันที่ 29 ก.พ. ว่า กมธ.ได้พิจารณาร่างกฎหมายครบทั้ง 68 มาตราแล้ว และหากคณะ กมธ.ให้ความเห็นชอบ จะนำเสนอบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในวาระ 3 โดยตั้งเป้าให้ทันวันที่ 20 มี.ค. 2567

ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 มี.ค. นายอัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ได้เปิดเผยว่า กรรมาธิการฯ ได้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมเสร็จสมบูรณ์ทุกมาตราแล้ว และคาดว่าจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในวาระ 2 และ 3 ได้ภายในวันที่ 27 มี.ค. นี้

สำหรับร่างกฎหมายของคณะรัฐมนตรีที่ถูกใช้เป็นร่างกฎหมายร่างหลัก ที่มีความแตกต่างในบางประเด็นจากร่างฯ ที่เสนอจากภาคประชาชน และร่างฯ ของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) นัยนา เปิดเผยกับบีบีซีไทยในบางประเด็น ดังนี้

  • อายุผู้ที่ทำการสมรส กมธ. มีมติปรับให้เป็นอายุ 18 ปี ตามบทบัญญัติในร่างฯ ของภาคประชาชนและก้าวไกล จากเดิมที่ร่างฯ ของคณะรัฐมนตรี กำหนดที่ 17 ปี โดยมีเหตุว่าเพื่อให้เกณฑ์อายุสอดคล้องตามหลักการในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์และคุ้มครองสิทธิเด็กจากการถูกบังคับแต่งงานก่อนวัยอันควร
  • การใช้ถ้อยคำในกฎหมายแพ่งฯ ที่เกี่ยวกับบิดามารดากับบุตร ที่ประชุม กมธ. มีมติให้ใช้คำว่า "บิดา มารดา" ไม่รับข้อเสนอจากภาคประชาชนที่เสนอใช้คำว่า “บุพการี”
  • บทบัญญัติให้หน่วยงานอื่นแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง กมธ.มีมติให้ดำเนินการใน 180 วัน ตามเนื้อหาเดิมของร่างกฎหมาย โดยประเด็นนี้ภาคประชาชนเคยเสนอให้ใช้ทันที ไม่ต้องรอการแก้กฎหมายอื่น กมธ.มีมติไว้คงเดิม ในส่วนนี้ นัยนาเปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า ที่ประชุม กมธ. ได้รับทราบจากส่วนราชการ กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ว่า ต้องแก้ไขกฎหมายกว่า 50 ฉบับ

อ้างอิง : BBC