Sisterhood

[สัมมนา “ Love Wins Marketing ถอดรหัสตลาดหัวใจหลากสี”]

งานสัมมนา “ Love Wins Marketing ถอดรหัสตลาดหัวใจหลากสี” โดยได้เป็นวิทยากรร่วมแลกเปลี่ยนการเสวนาในหัวข้อ“ที่มาของ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม และมุมมองต่อการเติบโตของตลาด Inclusive Business” ร่วมคุณณัฐพัชร์ วงศ์เหรียญทอง ผู้ก่อตั้งบริษัท Dots Consultancy และผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด อาจารย์ประเสริฐ ธนัชโชคทวี อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ สาขาการตลาด และรศ. ดร. ปรารถนา ปุณณกิติเกษมคณบดี วิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) มากกล่าวเปิดงาน

เศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม LGBTQIA+ ในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2019 หรือประมาณ 201,500 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 1.23% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยในปีดังกล่าว (LGBT Capital, อ้างอิงจาก Channel News Asia, 2024) โดยรายได้หลักมาจากการท่องเที่ยว การจัดงานแต่งงาน และการใช้จ่ายในบริการต่าง ๆ ของนักท่องเที่ยวและชุมชน LGBTQIA+ ที่เดินทางเข้ามาในประเทศ (Bangkok Post, 2023) ทั้งนี้ ประเทศไทยยังได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้จากการท่องเที่ยว LGBTQ สูงที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับสัดส่วน GDP (Channel News Asia, 2024) ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่สำคัญและแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดสายรุ้งในอนาคต

การตลาดในยุคปัจจุบันไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการสร้างยอดขายหรือการขยายส่วนแบ่งทางการตลาดเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงหลักการ Business and Human Rights (BHR) หรือ “ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน” อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในประเด็นความหลากหลายและการไม่เลือกปฏิบัติ เช่น การตลาดที่เจาะกลุ่ม LGBTQIA+ จำเป็นต้องดำเนินงานอย่างเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ปราศจากอคติ และไม่ใช้ภาพลักษณ์ของกลุ่มเปราะบางเป็นเพียงเครื่องมือทางการค้า ทั้งนี้ หลักการชี้นำของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs) กำหนดให้ธุรกิจต้องประเมินผลกระทบที่กิจกรรมของตนมีต่อสิทธิมนุษยชนอย่างสม่ำเสมอ และต้องมีแนวทางเยียวยาหากมีการละเมิดเกิดขึ้น (United Nations, 2011) การทำการตลาดโดยยึดหลัก BHR จึงไม่เพียงแต่เสริมสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือในระยะยาว แต่ยังช่วยสร้างความยั่งยืนทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างแท้จริง

#สสครูธัญ #พรรคประชาชน #Marketing #BusinessandHumanRights #UNGPs #CMMU #มหาวิทยาลัยการจัดการมหิดล

ดูน้อยลง

[แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับ DEI ในห่วงโซ่อุปทานและผลกระทบต่อธุรกิจ]

การนำหลัก Diversity, Equity, and Inclusion (DEI) มาใช้ในห่วงโซ่อุปทานเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในธุรกิจสมัยใหม่ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการให้ความสำคัญกับความหลากหลายและความเสมอภาคในซัพพลายเชนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ สร้างความภักดีของลูกค้า และกระตุ้นยอดขาย บริษัทที่ดำเนินนโยบายนี้ไม่เพียงแต่ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและชื่อเสียง แต่ยังช่วยให้เกิดความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจในระดับมหภาค

ตัวอย่างของบริษัทที่นำหลัก DEI ไปใช้ในห่วงโซ่อุปทาน ได้แก่ Unilever, Microsoft และ Nike Unilever ใช้นโยบาย Supplier Diversity Program เพื่อสนับสนุนธุรกิจที่เป็นของผู้หญิงและชนกลุ่มน้อย ซึ่งส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 3-5% และอัตราความภักดีของลูกค้าเพิ่มขึ้น 20% Microsoft มี Diverse Supplier Program ที่ช่วยลดต้นทุนการจัดซื้อได้ถึง 8% และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า 15% ส่วน Nike ลงทุนใน Fair Wage Programs เพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ในห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลให้ความไว้วางใจในแบรนด์เพิ่มขึ้น 12% และยอดขายสูงขึ้น 6%

ในแง่ของผลกระทบต่อสังคม การดำเนินนโยบาย DEI ในห่วงโซ่อุปทานช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และสร้างงานที่มีคุณภาพให้กับกลุ่มคนที่ถูกละเลย การศึกษาโดย UN Global Compact และ World Economic Forum ชี้ให้เห็นว่าการปรับปรุงมาตรฐานแรงงานและการสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กช่วยให้เกิดระบบเศรษฐกิจที่ครอบคลุมมากขึ้นและลดความเหลื่อมล้ำในระดับโลก

นอกจากประโยชน์ทางเศรษฐกิจแล้ว การนำ DEI มาใช้ยังช่วยสร้างความยั่งยืนในซัพพลายเชน บริษัทที่ให้ความสำคัญกับซัพพลายเออร์ที่เป็นธรรมและสนับสนุนแรงงานที่ด้อยโอกาสมีแนวโน้มที่จะได้รับการยอมรับจากนักลงทุนและสังคมมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิแรงงานและมาตรฐานแรงงานสากล

ดังนั้น การใช้ DEI ในห่วงโซ่อุปทานไม่ใช่เพียงแนวทางที่ช่วยสร้างความเป็นธรรมในสังคม แต่ยังเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน บริษัทที่ลงทุนในแนวทางนี้พบว่ามี ยอดขายสูงขึ้น ความภักดีของลูกค้าเพิ่มขึ้น และต้นทุนลดลง จึงเป็นแนวทางที่จำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการขับเคลื่อนธุรกิจในยุคใหม่

แหล่งข้อมูลทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง
1. Measuring circularity and sustainability in Italian agri-food systems – การวิเคราะห์ผลกระทบของซัพพลายเชนที่ยั่งยืน
2. Impact Measures for Business Process Compliance – การวัดผลกระทบของการปฏิบัติตามมาตรฐานทางธุรกิจ
3. Handbook on Life Cycle Sustainability Assessment – แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน

#ประชุมสภา #พรรคประชาชน #สสครูธัญ #การเมืองไทย #UNGPs #DEI #BusinessAndHumanRights

ดูน้อยลง

Trending Now