Sisterhood

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์

1 สัปดาห์ที่แล้ว

[หารือ APCOM ถึงสถานการณ์ LGBTQ+ และผู้มีเชื้อเอชไอวีในไทย กับความท้าทายของการทำงานชุมชน]

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้พบกับ มิดไนท์ พูนเกษตรวัฒนา และ วัฒนา เกี๋ยงพา จาก APCOM Foundation เพื่อหารือถึงสถานการณ์ของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ... ดูเพิ่มเติม

[หารือ APCOM ถึงสถานการณ์ LGBTQ+ และผู้มีเชื้อเอชไอวีในไทย กับความท้าทายของการทำงานชุมชน]

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้พบกับ มิดไนท์ พูนเกษตรวัฒนา และ วัฒนา เกี๋ยงพา จาก APCOM Foundation เพื่อหารือถึงสถานการณ์ของผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย รวมถึงอุปสรรคที่เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีต้องเผชิญ ท่ามกลางกระแสโลกและการตัดงบประมาณจากต่างประเทศ การสนทนาเน้นไปที่ปัญหาการเข้าถึงยาต้านไวรัส ซึ่งแม้ประเทศไทยสามารถผลิตได้เองแล้ว แต่บริการผ่านโรงพยาบาลศูนย์กลางเป็นหลัก ขณะที่การทำงานของชุมชนที่เน้นการเข้าถึงกลุ่มเฉพาะกลับไม่ได้รับการสนับสนุน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการยุติเอดส์

การหารือนี้ยังเน้นถึงความสำคัญของโมเดล RRTTPR (Reach, Recruit, Test, Treat, Prevent, Retain) ซึ่งเป็นแนวทางการทำงานที่ใช้กลุ่มเฉพาะเป็นศูนย์กลาง เพื่อนำบริการด้านเอชไอวีไปสู่ชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ ผลกระทบแหล่งทุน ทำให้กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดอาจเข้าไม่ถึงการรักษาและการสนับสนุนที่เหมาะสม ธัญวัจน์เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ภาครัฐต้องร่วมหารือหาทางประสานการทำงานของชุมชนให้มากขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าสู่เป้าหมายการยุติเอดส์ได้อย่างแท้จริง

#สสครูธัญ #LGBTQIAN #HIV #AIDs #APCOM #พรรคประชาชน

ดูน้อยลง

0 ถูกใจ

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์

1 เดือนที่แล้ว

[การหารือโมเดล RRTTPR กับองค์กรในเชียงใหม่เพื่อความยั่งยืนในการยุติเอชไอวี]

องค์กรในเชียงใหม่ เช่น มูลนิธิแคร์แมท และ มูลนิธิเพื่อรัก ได้มีการนำโมเดล RRTTPR (Reach, Recruit, Test, Treat, Prevention, Retain) มาใช้ในการทำงานด้านการป้องกันและรักษาเอชไอวี โมเดลนี้เน้นการเข้าถึงกลุ่ม ... ดูเพิ่มเติม

[การหารือโมเดล RRTTPR กับองค์กรในเชียงใหม่เพื่อความยั่งยืนในการยุติเอชไอวี]

องค์กรในเชียงใหม่ เช่น มูลนิธิแคร์แมท และ มูลนิธิเพื่อรัก ได้มีการนำโมเดล RRTTPR (Reach, Recruit, Test, Treat, Prevention, Retain) มาใช้ในการทำงานด้านการป้องกันและรักษาเอชไอวี โมเดลนี้เน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเชิงรุก การตรวจคัดกรอง การรักษา และการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ งานวิจัยหลายฉบับยืนยันว่าการดำเนินงานเชิงรุก เช่นนี้ มีประสิทธิภาพสูงในการลดการแพร่ระบาดและเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงบริการสุขภาพ (UNAIDS, 2022)

ข้อมูลจากทั้งสององค์กรชี้ให้เห็นว่า การดำเนินงานตามโมเดล RRTTPR สามารถเพิ่มจำนวนผู้ที่เข้ารับการตรวจและการรักษาได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการให้บริการยาป้องกันก่อนการติดเชื้อ (PrEP) และการให้คำปรึกษาในกลุ่มที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบบริการ การทำงานเชิงรุกดังกล่าวช่วยลดอุปสรรค เช่น การถูกตีตราหรือความไม่สะดวกในการเดินทางไปโรงพยาบาล เริ่มยาต้านไวรัสโดยเร็วหรือทันทีที่ทราบผล จะช่วยเรื่องคุณภาพชีวิตของผู้มีเอชไอวี และเมื่อทานยาอย่างมีวินัยต่อเนื่อง เกิน 6 เดือน จนปริมาณไวรัสต่ำ เข้าสู่สถานะ U=U ก็จะไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อได้ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การพึ่งพาเงินสนับสนุนจากต่างประเทศ ซึ่งอาจลดลงในอนาคต งานวิจัยจาก Hitap (2020) ระบุว่า การจัดการงบประมาณที่ยั่งยืนในประเทศเป็นปัจจัยสำคัญต่อความต่อเนื่องของการดำเนินงาน

การหารือครั้งนี้ได้เน้นถึงแนวทางสำคัญในการสร้างความยั่งยืน เช่น การสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ การระดมทุนจากภาคเอกชน และการเพิ่มการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อลดการพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศ นอกจากนี้ การทำงานเชิงรุก เช่น การลงพื้นที่และการให้บริการนอกสถานพยาบาล ควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อเข้าถึงกลุ่มประชากรที่เปราะบางและยากต่อการเข้าถึง การทำงานเชิงรับในโรงพยาบาลเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายการยุติเอชไอวีภายในปี 2030 (WHO, 2021)

ดังนั้น การดำเนินงานในอนาคตควรมุ่งเน้นการพัฒนากลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน พร้อมทั้งใช้ประโยชน์จากการวิจัยและการสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถยุติการแพร่ระบาดของเอชไอวีได้ในระยะยาว

#สสครูธัญ #พรรคประชาชน #HIV #AIDs

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

มีงานวิจัยที่เปรียบเทียบประสิทธิภาพของโมเดลการดำเนินงาน RRTTPR (Reach, Recruit, Test, Treat, Prevention, Retain) กับการให้บริการแบบเชิงรับในโรงพยาบาลรัฐ พบว่าโมเดล RRTTPR มีประสิทธิภาพสูงกว่าในการเข้าถึงและดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี

จากแหล่งข้อมูลข้างต้น สรุปได้ว่าโมเดล RRTTPR มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงและดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าการให้บริการแบบเชิงรับในโรงพยาบาลรัฐเพียงอย่างเดียว

[https://www.hitap.net/research/173112?utm_source=chatgpt.com]

ดูน้อยลง

การวิเคราะห์ต้นทุนการจัดบริการเพื่อยุติเอชไอวีของกลุ่มประชากรหลักในประเทศไทย

0 ถูกใจ

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์

6 เดือนที่แล้ว

# กลาโหมและการตรวจ HIV: การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ไม่ควรมองข้าม

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.จากพรรคประชาชน ได้เสนอให้ปรับลดงบประมาณประจำปี 2568 ในส่วนของกระทรวงกลาโหม 0.012% หรือ 10,937,500 บาท โดยเฉพาะการจัดการงบประมาณที่เกี่ยวกับโครงการ “การศึกษาความชุกของโรคเอดส์” ของกองทัพบก ซึ่ ... ดูเพิ่มเติม

# กลาโหมและการตรวจ HIV: การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ไม่ควรมองข้าม

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.จากพรรคประชาชน ได้เสนอให้ปรับลดงบประมาณประจำปี 2568 ในส่วนของกระทรวงกลาโหม 0.012% หรือ 10,937,500 บาท โดยเฉพาะการจัดการงบประมาณที่เกี่ยวกับโครงการ “การศึกษาความชุกของโรคเอดส์” ของกองทัพบก ซึ่งธัญเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน

ธัญยืนยันว่า การตรวจ HIV โดยไม่สมัครใจ ถือเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวและสิทธิในร่างกายของบุคคล ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในกองทัพไทย

ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา:
1. **ความยินยอม (Consent)**: การตรวจสุขภาพใด ๆ ควรได้รับความยินยอมจากผู้ถูกตรวจ การตรวจ HIV โดยไม่สมัครใจเป็นการละเมิดสิทธิเกี่ยวกับการตัดสินใจในร่างกายของตนเอง
2. **ความเป็นส่วนตัว (Privacy)**: ผลการตรวจ HIV เป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว การเปิดเผยหรือใช้ข้อมูลโดยไม่ได้รับความยินยอมถือเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว
3. **การจัดการผลการตรวจ (Management of Test Results)**: การจัดการผลการตรวจต้องเป็นไปตามหลักความลับทางการแพทย์ ไม่ควรถูกนำไปใช้ในทางที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล

การตรวจ HIV โดยไม่สมัครใจอาจถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหากไม่มีการเคารพต่อความยินยอมและความเป็นส่วนตัวของบุคคลที่ถูกตรวจ ธัญจึงเรียกร้องให้มีการปรับลดงบประมาณในส่วนนี้เพื่อยุติการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนในกองทัพ

#สสครูธัญ #พรรคประชาชน #งบประมาณ68 #ประชุมสภา #HIV #AIDS #AntiDiscrimination #ขจัดการเลือกปฏิบัติ

ดูน้อยลง

0 ถูกใจ

Trending Now