
เป็นเวลากว่า 10 ปีที่ ณชเล บุญญาภิสมภาร หรือฮั้ว‘สาวข้ามเพศ’ จาก จ.เเพร่ ใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกาในฐานะ ‘ผู้หญิง’ คนหนึ่ง ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์ทางสุขภาพต่างๆ ที่รัฐมอบให้ หลังในปี 2553 บินลัดฟ้า ไปเรียนต่อที่นั่น
นอกจากนี้ หลังสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโท ณชเลยังได้มีโอกาสทำงานให้กับ Apicha Community Health Center ศูนย์สุขภาพชุมชนในแมนฮัตตันที่ให้บริการแก่คนที่มีรายได้น้อย และไม่มีประกันสุขภาพ หรือคนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศอเมริกาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมไปถึงการให้บริการต่างๆ แก่คนข้ามเพศ (Transgender) ทั้งการรับยารับฮอร์โมน หรือการให้คำปรึกษาต่างๆ
สิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวชีวิตส่วนตัว หรือประสบการณ์อันเกิดจากการทำงาน ได้หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นนักรณรงค์เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิคนข้ามเพศมาตั้งแต่นั้น
ในปี 2563 ณชเลตัดสินใจเดินทางกลับมายังประเทศบ้านเกิด ขณะที่สถานการณ์โลกกำลังปั่นป่วนกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อมาถึง เธอพบว่า แม้ไทยจะมีกลุ่มองค์กรเพื่อคนข้ามเพศอยู่เป็นจำนวนมากที่ให้บริการด้านสุขภาพ โดยเฉพาะด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (HIV) แต่ด้วยภาระความรับผิดชอบที่ค่อนข้างมาก จนอาจเรียกว่าได้มีภาวะ ‘งานล้นมือ’ ณชเลจึงรู้สึกว่าอยากจะเข้ามาช่วยทำงานเพื่อผลักดันสวัสดิการที่เกี่ยวกับสุขภาพของคนข้ามเพศอีกแรง
ดังนั้น ในปีถัดมา เธอจึงก่อตั้ง และเริ่มต้นเป็นผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนากลไกนโยบายบริการสุขภาวะคนข้ามเพศ (T- HAT) หรือโครงการ ‘ข้ามเพศมีสุข’ โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
โครงการฯ ดังกล่าวของ ณชเล จะให้ความสำคัญและผลักดันกระบวนการผ่าน 3 ส่วนหลัก คือ 1. การทำงานให้กับชุมชนของคนข้ามเพศ โดยเข้าไปช่วยพัฒนาศักยภาพ 2. สร้างพื้นที่ให้คนข้ามเพศสามารถส่งเสียงความต้องการ และ 3. สะท้อนถึงอุปสรรคในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพที่เกี่ยวกับการข้ามเพศ
ผลักดันสิทธิทางสุขภาพด้วยกลไกสานพลัง
ทว่า การจะผลักดันเรื่องสิทธิทางสุขภาพของคนข้ามเพศ ไม่อาจสำเร็จจนเกิดเป็นรูปธรรมได้จากการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนเท่านั้น แต่จะต้องทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปยังสาธารณะผ่านสื่อช่องทางต่างๆ เพื่อนำข้อเรียกร้องและความต้องการของคนข้ามเพศไปขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบาย
ดังนั้น ณชเล ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการข้ามเพศมีสุข จึงต้องทำงานสานพลังร่วมกับองค์กรที่เกี่ยวข้องกับระบบสุขภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หรือสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ฯลฯ
ความสำเร็จขั้นแรก ที่เริ่มเห็นเป็นรูปธรรม คือ การที่หน่วยงานภาครัฐได้ตระหนักถึงความสำคัญถึงบริการทางสุขภาพการเข้าถึงยาฮอร์โมนสำหรับคนข้ามเพศในประเทศไทย โดย สปสช. ได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนบริการสิทธิประโยชน์ใหม่ คือ “บริการด้านสุขภาพสำหรับกลุ่มคนข้ามเพศ” เป็นจำนวนเงิน 145.63 ล้านบาท เพื่อดูแลกลุ่มเป้าหมายจำนวน 2 แสนราย และให้คำมั่นว่าจะพยายามในการผลักดันให้เป็นชุดสิทธิประโยชน์ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ภายในปี 2568
สำหรับขณะนี้การผลักดันดังกล่าวกำลังอยู่ในขั้นตอนการกำหนดแนวทางการปฏิบัติเพื่อจัดบริการยาฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศ (Guide line) เพื่อใช้เป็นมาตรฐานการให้บริการ ซึ่งทางราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ฯ ให้ใช้ ที่จัดทำขึ้นโดยสมาคม Thai-PATH เป็นหลักในการดำเนินงาน โดยจะต้องผ่านกระบวนการ และขั้นตอนพิจารณาจากราชวิทยาลัย ที่เกี่ยวข้องเป็นลำดับต่อไป
“Thai-PATH จะเร่งจัดทำแนวทางการปฏิบัติฯ รวมทั้งจัดทำแนวทางการเบิกจ่ายเงินตามสิทธิประโยชน์ (Protocol) ร่วมกับ สปสช. ให้เสร็จเร็วที่สุด ภายหลังการจัดทำแนวทางการปฏิบัติฯ เสร็จ ต้องนำเนื้อหาส่งให้ทางราชวิทยาลัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ฯ ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์ฯ ราชวิทยาลัยจิตแพทย์ฯ ฯลฯ เพื่อให้ช่วยให้ความเห็น และให้การรับรอง ต่อไป” ณชเล ระบุ
กระนั้น แม้ความสำเร็จในครั้งนี้จะน่ายินดี แต่ก็ยังมีอีกหลายส่วน ที่จะต้องขับเคลื่อนตีคู่ขนานไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้มั่นใจว่า คนข้ามเพศทุกคนในผืนแผ่นดินไทย จะสามารถเข้าถึงชุดสิทธิประโยชน์ยาฮอร์โมนได้
“หากประเทศสามารถผลักดันเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นได้จริง เราจะเป็นประเทศแรกๆ ในทวีปเอเชียที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพของคนข้ามเพศ” เธอ กล่าว
สมรสเท่าเทียมไม่ใช่ ‘ยาวิเศษ’
ณชเล ยอมรับว่าการผ่าน พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมานั้น เป็น ‘เหมือนฝันที่เป็นจริง’
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงแห่งความปลาบปลื้มว่า สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริงๆ แล้วในประเทศของเรา ความฝันแรกของพวกได้กลายเป็นจริงแล้ว ทว่า การเคลื่อนไหวเพื่อความเท่าเทียมของผู้มีความหลากหลายทางเพศ และคนข้ามเพศยังไม่สิ้นสุดลง
“ต้องบอกว่า สมรสเท่าเทียมไม่ใช่ยาวิเศษ อาจจะไม่ได้ทำให้สังคมเปลี่ยนได้ภายในวันเดียว แต่การที่เรามีจุดเริ่มต้นจากการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม มันได้ให้พื้นที่แก่ผู้คนได้พูดถึงสิทธิของคนที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น ณ ปัจจุบันนี้ รวมถึงในอนาคต เราจะไม่พูดถึงเพียงแค่ความเท่าเทียมทางเพศระหว่างหญิงและชายเท่านั้น แต่จะรวมไปถึงความเท่าเทียมของผู้มีความหลากหลายทางเพศด้วย” ณชเล กล่าว
เธอขยายความต่อไปว่า มีประมาณ 2 – 3 ประเด็นที่ควรต้องมีการผลักดันต่อไป คือ การใช้คำศัพท์ที่ถูกต้องกับผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทั้งในวงการวิชาการและการศึกษา รวมถึงการใช้ภาษาทางกฎหมาย หรือเรื่องสิทธิในการเข้าถึงเทคโนโลยีอนามัยเจริญพันธุ์ การตั้งครรภ์ด้วยวิธีการอุ้มบุญ ซึ่งเมื่อก่อนเป็นข้อจำกัดจากกฎหมาย ที่ทำให้คู่รักเพศเดียวกันไม่สามารถมีบุตรได้ โดยผลจากการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม จะเป็นส่วนสำคัญในการเปิดโอกาสให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการอุ้มบุญเพื่อการมีบุตรได้
ประการต่อมา คือ กฎหมายสมรสเท่าเทียมฉบับนี้ ยังไม่ได้รองรับคนที่มีอัตลักษณ์ทางเพศสภาพที่ต่างจากเพศกำเนิด เช่น หากวันหนึ่งผู้หญิงข้ามเพศจะแต่งงานและจดทะเบียนสมรส โดยในทางนิตินัยผู้หญิงข้ามเพศที่จดทะเบียนสมรส คือ สามี ไม่ใช่ภรรยา รายละเอียดเหล่านี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องมีทำงานกันต่อไป เพื่อขับเคลื่อนกฎหมายให้มีการรับรองเพศสภาพ
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้เพื่อกฎหมายที่รับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพในประเทศไทยไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ ณชเล บอกว่า ในฐานะผู้ที่ติดตามและเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิคนข้ามเพศ เคยได้ยินเรื่องกฎหมายเปลี่ยนแปลงคำหน้านามมาตั้งแต่ พ.ศ. 2550 นั่นหมายความว่า เป็นระยะเวลากว่า 18 ปีเป็นอย่างน้อย ที่เริ่มมีการพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ในสังคม
“ดังนั้น เมื่อประตูบานแรกได้เปิดขึ้นแล้วจากการมีกฎหมายสมรสเท่าเทียม จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สังคมจะขับเคลื่อนร่วมกันอีกครั้ง ณ ตอนนี้มีร่าง พ.ร.บ. ผลักดันกฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ หรือคำนำหน้านาม กำลังรอเข้าสู่การพิจารณาในรัฐสภาถึง 4 ร่าง ซึ่งหวังว่าทางรัฐสภาจะเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน พ.ร.บ. ดังกล่าวด้วย” ณชเล ฝากความหวัง
นโยบายทรัมป์ กระทบคนข้ามเพศอเมริกา
ในฐานะที่ ณชเล ใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนอเมริกามาเป็นเวลาหลายปี จึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า นโยบายต่างๆ ของประธานาธิบดีคนใหม่ อย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) จะส่งผลกระทบต่อคนข้ามเพศที่อาศัยอยู่ในอเมริกาหรือไม่ มากน้อยเพียงใด
“จากที่ติดตามข่าว มันจะมีคำสั่งพิเศษจากประธานาธิบดีหลายคำสั่งที่จะกระทบกับคนข้ามเพศแน่นอน” เธอว่า
ประการแรก คือ คำสั่งที่มีเนื้อหา ห้ามมิให้ผู้จัดบริการให้บริการยาฮอร์โมน และการผ่าตัดเพื่อการยืนยันเพศแก่เด็กและเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ซึ่งเมื่อก่อนสามารถเข้ารับบริการได้ เพียงแต่จะต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง อีกนโยบายหนึ่งที่กระทบ คือ การที่ประธานาธิบดีออกมาระบุว่า เพศ มีเพียงสองเพศเท่านั้น คือ ชายและหญิง พร้อมทั้งระบุว่าพนักงานของรัฐทุกคนที่ทำหน้าที่อย่างเป็นทางการต้องใช้คำว่า “เพศ” (Sex) ไม่ใช่คำว่า “เพศสภาพ” (Gender) ในนโยบายและเอกสารต่างๆ
เธอขยายภาพต่อไปว่า ด้วยสถานะของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศขนาดใหญ่และมีอิทธิพลต่อนานาอารยะประเทศ เมื่อเกิดการเปลี่ยนทางนโยบายใดๆ จึงย่อมส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลก ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สิ่งที่น่ากังวลก็คือ เมื่อสหรัฐฯ มีทิศทางเช่นนี้ ย่อมจะกลายเป็นแบบอย่างให้แก่ประเทศอื่นๆ ทำให้ผู้บริหารและผู้ออกแบบนโยบาย อาจใช้สหรัฐฯ เป็นเหตุผลในการยุติการสนับสนุนการให้บริการแก่คนข้ามเพศ
“สำหรับประเทศไทย ส่วนตัวมองว่า หากเราอยากจะเป็นประเทศที่มีการพัฒนาเรื่องความเท่าเทียมของผู้คนในสังคม เราอย่ากลัวที่จะเป็นตัวอย่างที่ดี เราไม่จำเป็นต้องใช้ตัวอย่างจากต่างประเทศก็ได้ หากเราคิดว่าเราใส่ใจ และเรามั่นคงกับทางเลือก ว่าประเทศควรเดินทางไปสู่ความเท่าเทียมทางเพศ ความเท่าเทียมกันของคนในสังคม เราก็เป็นตัวอย่างให้ประเทศอื่นๆไปเลย หากเรามั่นใจว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง” ณชเล กล่าว
ดังนั้น เพื่อความมุ่งมั่นกับการขับเคลื่อนในสิ่งที่ถูกต้องต่อไป ของสังคมไทย ในช่วงท้ายของบทสนทนา เธอไม่ลืมที่จะขอกล่าวเชิญชวนหน่วยงาน องค์กร หรือประชาชนที่สนใจประเด็นเรื่องผู้มีความหลากหลายทางเพศ เข้าร่วมงาน ประชุมระดับชาติ: สุขภาวะของคนข้ามเพศ (ข้ามเพศมีสุข) ครั้งที่ 2 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กทม. ในวันที่ 31 มี.ค. – 1 เม.ย. 2568 ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นงานที่ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งหมด 29 องค์กร ทั่วทั้งประเทศ เพื่อมาพูดคุย แลกเปลี่ยน ถึงสถานการณ์คนข้ามไทย
“นี่จะเป็นหนึ่งในงานที่ทำให้พี่น้องภาคีเครือข่ายคนข้ามเพศมาร่วมงานมากที่สุด ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ทุกฝ่าย ได้มาเรียนรู้ทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน”
CR.thecoverage